การเขียนโครงร่างงานวิจัย
การเขียนโครงร่างการวิจัย
ทราบขั้นตอนและรายละเอียดในขั้นตอนของการวิจัย
ใช้เป็นเครื่องมือในห้างหุ้นส่วนจำกัดหัวเรื่อง: การกำหนดการรับรองการวิจัยหรือการรับรองการวิจัยเพื่อให้ผู้ได้รับการรับรองทราบว่าได้รับการจัดทำอย่างไรให้เป็นไปได้ในการเป็นหุ้นส่วน จำกัด หัวเรื่อง: การศึกษาวิจัย
การวิจัย
กระบวนการค้นหาความรู้อย่างเข้มงวดมีระเบียบมีกฎเกณฑ์ในการ
รวบรวมข้อมูลการวิเคราะห์และการแปลข้อมูล
กระบวนการค้นหาความรู้อย่างเข้มงวดมีระเบียบมีกฎเกณฑ์ในการ
รวบรวมข้อมูลการวิเคราะห์และการแปลข้อมูล
ด้วยกระบวนการที่ละเอียดอ่อนในสาขาวิชา
ในห้างหุ้นส่วนจำกัดทางการซึ่งแพทย์นิยมใช้กระบวนการทางวิทยาศาสตร์เพราะเชื่อว่าได้วิธี
นี้มีความสามารถถูกคุณต้องเชื่อถือได้มากที่สุด
การเขียนโครงร่างการวิจัยที่ดี
ความรู้และความเข้าใจอย่างถ่องแท้ของผู้ที่จะทำการวิจัยว่า
อะไรจะมีวัตถุประสงค์อะไรจะใช้ระเบียบวิธีการศึกษาอะไรและการ
วิจัยและงานวิจัยที่มีประโยชน์อะไรบ้าง
หากผู้ที่ท าวิจัยไม่มีความชัดเจนในเรื่องต่างๆเหล่านี้แล้ว ก็ยากที่จะเขียน
ข้อเสนอโครงการวิจัยที่ดีได้
9.ประโยชน์ที่คาดว่าจะได้รับจากการวิจัย
อธิบายถึงประโยชน์ที่จะน าไปใช้ได้จริง ในด้านวิชาการ เช่น จะเป็นการค้นพบทฤษฎี
ใหม่ซึ่งสนับสนุนหรือ คัดค้านทฤษฎีเดิม และประโยชน์ในเชิงประยุกต
เช่น น าไปวางแผนและก าหนดนโยบายต่างๆ หรือประเมินผลการปฏิบัติงาน เพื่อหา
แนวทางพัฒนาให้ดีขึ้น เป็นต้น โดยครอบคลุมทั้ง ผลในระยะสั้น และระยะยาว
ทั้งผลทางตรง และทางอ้อม และควรระบุว่า ผลประโยชน์เกิดกับใคร เป็นส าคัญ เช่น
โครงการวิจัย ประสิทธิผลของการออกก าลังกายกับการลดระดับน้ าตาลในเลือดใน
ผู้ป่วยโรคเบาหวานชุมชนสวนใหญ่ จังหวัดนนทบุรี พ.ศ….. ส่วนผลกระทบ
(impact) โดยตรง ในระยะยาว ก็อาจจะเป็น คุณภาพชีวิตของคนในชุมชนนั้น ที่ดีขึ้น
ส่วนผลทางอ้อม ได้แก่ การกระตุ้นให้ผู้ป่วยเบาหวานออกก าลังกาย เป็นต้น
10. ระเบียบวิธีวิจัย
10.1 วิธีวิจัย จะเลือกใช้วิธีวิจัยแบบใด เช่น จะใช้การวิจัยเอกสาร การวิจัยแบบทดลอง
การวิจัยเชิงส ารวจ การวิจัยเชิงคุณภาพ หรือจะใช้หลายๆ วิธีรวมกัน ซึ่งก็ต้องระบุ
ให้ชัดเจนว่าจะใช้วิธีอะไรบ้าง
10.2 แหล่งข้อมูล จะเก็บข้อมูลจากแหล่งใดบ้าง เช่น จะเก็บข้อมูลทุติยภูมิ จากทะเบียน
ราษฎร์ สมุดสถิติรายปี ส ามะโนประชากรและเคหะ ฯลฯ หรือจะเป็นข้อมูลปฐมภูมิ
จากการส ารวจ การสนทนากลุ่ม การสังเกต การสัมภาษณ์ระดับลึก ฯลฯ เป็นต้น
10.3 ประชากรที่จะศึกษา ระบุให้ชัดเจนว่าใครคือประชากรที่ต้องการศึกษา และก าหนด
คุณลักษณะของประชากรที่จะศึกษาให้ชัดเจน เช่น เพศ อายุ สถานภาพสมรส
ศาสนา เขตที่อยู่อาศัย บางครั้งประชากรที่ต้องการศึกษาอาจไม่ใช่ปัจเจกบุคคลก็ได้
เช่น อาจเป็นครัวเรือน หมู่บ้าน อ าเภอ จังหวัด ฯลฯ ก็ได้
10.3 ประชากรที่จะศึกษา ระบุให้ชัดเจนว่าใครคือประชากรที่ต้องการศึกษา และก าหนด
คุณลักษณะของประชากรที่จะศึกษาให้ชัดเจน เช่น เพศ อายุ สถานภาพสมรส
ศาสนา เขตที่อยู่อาศัย บางครั้งประชากรที่ต้องการศึกษาอาจไม่ใช่ปัจเจกบุคคลก็ได้
เช่น อาจเป็นครัวเรือน หมู่บ้าน อ าเภอ จังหวัด ฯลฯ ก็ได้
10.5 วิธีการเก็บข้อมูล ระบุว่าจะใช้วิธีการเก็บข้อมูลอย่างไร มีการใช้เครื่องมือและ
ทดสอบเครื่องมืออย่างไร เช่น จะใช้วิธีการส่งแบบสอบถามทางไปรษณีย์ การ
สัมภาษณ์แบบมีแบบสอบถาม การสังเกต หรือการสนทนากลุ่ม เป็นต้น
10.6 การประมวลผลข้อมูลและการวิเคราะห์ข้อมูล ระบุการประมวลผลข้อมูลจะท า
อย่างไร จะใช้เครื่องมืออะไรในการประมวลผลข้อมูล และในการวิเคราะห์
ข้อมูลหรือการทดสอบสมมติฐานจะท าอย่างไร จะใช้สถิติอะไรบ้างในการ
วิเคราะห์ข้อมูล เพื่อให้สามารถตอบค าถามของการวิจัยที่ต้องการได้
11. ระยะเวลาในการด าเนินงาน
้วิจัยต้องระบุถึงระยะเวลาที่จะใช้ในการด าเนินงานวิจัยทั้งหมดว่าจะใช้เวลานานเท่าใด
และต้องระบุระยะเวลาที่ใช้ส าหรับแต่ละขั้นตอนของการวิจัย วิธีการเขียนรายละเอียดของ
หัวข้อนี้อาจท าได้ 2 แบบ ตามที่แสดงไว้ในตัวอย่างต่อไปนี้ (การวิจัยใช้เวลาด าเนินการ 12
เดือน)
12. งบประมาณ
การก าหนดงบประมาณค่าใช้จ่ายเพื่อการวิจัย ควรบ่างเป็นหมวดๆ ว่าแต่ละหมวดจะ
ใช้งบประมาณเท่าใด การแบ่งหมวดค่าใช้จ่ายท าได้หลายวิธี ตัวอย่างหนึ่งของการแบ่ง
หมวด คือ แบ่งเป็น 8 หมวดใหญ่ๆ ได้แก่
12.1 เงินเดือนและค่าตอบแทนบุคลากร
12.2 ค่าใช้จ่ายส าหรับงานสนาม
12.3 ค่าใช้จ่ายส านักงาน
12.4 ค่าครุภัณฑ์
12.5 ค่าประมวลผลข้อมูล
12.6 ค่าพิมพ์รายงาน
12.7 ค่าจัดประชุมวิชาการ เพื่อปรึกษาเรื่องการด าเนินงาน หรือเพื่อเสนอผลงานวิจัย
เมื่อจบโครงการแล้ว
13. เอกสารอ้างอิง
ตอนสุดท้ายของโครงร่างการวิจัย จะต้องมี เอกสารอ้างอิง หรือรายการอ้างอิง อัน
ได้แก่ รายชื่อหนังสือ สิ่งพิมพ์อื่น ๆ โสตทัศนวัสดุ ตลอดจนวิธีการ ที่ได้ข้อมูลมา เพื่อ
ประกอบ การเอกสารวิจัยเรื่องนั้น ๆ รายการอ้างอิง จะอยู่ต่อจากส่วนเนื้อเรื่อง และก่อน
ภาคผนวก โดยรูปแบบที่ใช้ควรเป็นไปตามสากลนิยม เช่น Vancouver Style หรือ
APA(American Psychological Association) style
14. ภาคผนวก
สิ่งที่นิยมเอาไว้ที่ภาคผนวก เช่น แบบสอบถาม แบบฟอร์มในการเก็บหรือบันทึก
ข้อมูล
เมื่อภาคผนวก มีหลายภาค ให้ใช้เป็น ภาคผนวก ก ภาคผนวก ข ฯลฯ
แต่ละภาคผนวกให้ขึ้นหน้าใหม
15. ประวัติของผู้ดำเนินการวิจัย
ประวัติของผู้วิจัย เป็นข้อมูลที่ผู้ให้ทุนวิจัยมักจะใช้ประกอบการพิจารณาให้ทุนวิจัยซึ่งถ้ามีผู้วิจัยหลายคนก็ต้องมีประวัติของผู้วิจัยที่อยู่ในตำแหน่งสำคัญๆ ทุกคนซึ่งต้องระบุว่าใครเป็นหัวหน้าโครงการใครเป็นผู้ร่วมโครงการในตำแหน่งใด และใครเป็นที่ปรึกษาโครงการ
ประวัติผู้ดำเนินการวิจัยควรประกอบด้วยประวัติส่วนตัว (เช่น อายุ เพศ
การศึกษา) ประวัติการทำงาน และผลงานทางวิชาการต่างๆ
1. ชื่อเรื่อง
ชื่อเรื่องควรมีความหมายสั้น กะทัดรัดและชัดเจน
ระบุถึงเรื่องที่จะทำการศึกษาวิจัยว่าทำอะไร กับใคร ที่ไหน อย่างไร เมื่อใดหรือต้องการผลอะไร
ยกตัวอย่างเช่น ประสิทธิผลของการออกก าลังกายกับการลดระดับน้ำตาลในเลือดในผู้ป่วยโรคเบาหวานชุมชนสวนใหญ่ จังหวัดนนทบุรี พ.ศ…..
ในกรณีที่จำเป็นต้องใช้ชื่อที่ยาวมากอาจแบ่งชื่อเรื่องออกเป็น 2 ตอน โดยให้ชื่อ
ในตอนแรกมีน้ าหนักความส าคัญมากกว่า และตอนที่สองเป็นเพียงส่วนประกอบหรือส่วน
ขยาย
การเลือกหัวเรื่องของการวิจัย
1. ความสนใจของผู้วิจัย ควรเลือกเรื่องที่ตนเองสนใจมากที่สุดและควรเป็นเรื่องที่ไม่ยากจนเกินไป
2. ความสำคัญของเรื่องที่จะทำวิจัย ควรเลือกเรื่องที่มีความสำคัญ และนำไปใช้ปฏิบัติหรือสร้างแนวความคิดใหม่ๆ ได้
3. เป็นเรื่องที่สามารถทำวิจัยได้ไม่มีผลกระทบอันเนื่องจากปัญหาต่างๆ เช่นด้าน
จริยธรรม ด้านงบประมาณ ด้านตัวแปรและการเก็บข้อมูล ด้านระยะเวลาและการ
บริหาร ด้านการเมือง หรือเกินความสามารถของผู้วิจัย
4. ไม่ซ้ำซ้อนกับงานวิจัยที่ทำมาแล้วอาจมีความซ้ำซ้อนในประเด็นต่างๆที่ต้อง
พิจารณาเพื่อหลีกเลี่ยง ได้แก่ ชื่อเรื่องและปัญหาของการวิจัย (พบมากที่สุด)
สถานที่ที่ท าการวิจัย ระยะเวลาที่ทำการวิจัย วิธีการ หรือระเบียบวิธีของการวิจัย
ข้อควรระวัง ในการตั้งชื่องานวิจัย
1. ไม่ชัดเจน คลุมเครือ
2. ยาวเกินไป
3. ไม่สอดคล้องกับประเด็นสำคัญที่ต้องการศึกษา
2. ความเป็นมาและความสำคัญของปัญหา
หรือหลักการและเหตุผล ภูมิหลังของปัญหา ความจ าเป็นที่จะท าการวิจัย
หรือ ความส าคัญของโครงการวิจัย ฯลฯ
ต้องระบุว่าปัญหาการวิจัยคืออะไร มีความเป็นมาหรือภูมิหลังอย่างไร
มีความส าคัญ รวมทั้งความจ าเป็น คุณค่า และประโยชน์ ที่จะได้จาก
ผลการวิจัยในเรื่องนี้
ผู้วิจัยควรเริ่มจากการเขียนปูพื้นโดยมองปัญหาและวิเคราะห์ปัญหา
อย่างกว้างๆ ก่อนว่าสภาพทั่วๆไปของปัญหาเป็นอย่างไร และภายในสภาพ
ที่กล่าวถึง มีปัญหาอะไรเกิดขึ้นบ้าง
ประเด็นปัญหาที่ผู้วิจัยหยิบยกมาศึกษาคืออะไร ระบุว่ามีการศึกษาเกี่ยวกับ
เรื่องนี้ มาแล้วหรือยัง ที่ใดบ้าง และการศึกษาที่เสนอนี้จะช่วยเพิ่มคุณค่า ต่อ
งานด้านนี้ ได้อย่างไร
3.วัตถุประสงค์ของการวิจัย
เป็นการกำหนดว่าต้องการศึกษาในประเด็นใดบ้าง ในเรื่องที่จะท าวิจัย
ต้องชัดเจน และเฉพาะเจาะจง ไม่คลุมเครือ
โดยบ่งชี้ถึง สิ่งที่จะทำทั้งขอบเขต และคำตอบที่คาดว่าจะได้รับทั้งในระยะสั้นและระยะยาว การตั้งวัตถุประสงค์ต้องให้สมเหตุสมผลกับทรัพยากรที่เสนอขอ และเวลาที่จะใช้ จำแนกได้เป็น 2 ชนิด คือ
1. วัตถุประสงค์ทั่วไป (General Objective) กล่าวถึงสิ่งที่คาดหวัง(implication) หรือสิ่งที่คาดว่าจะเกิดขึ้น จากการวิจัยนี้เป็นการแสดงรายละเอียด เกี่ยวกับจุดมุ่งหมายในระดับกว้างจึงควรครอบคลุมงานวิจัยที่จะทำทั้งหมด
2. วัตถุประสงค์เฉพาะ (Specific Objective) จะพรรณนาถึงสิ่งที่จะเกิดขึ้นจริงในงานวิจัยนี้โดยอธิบายรายละเอียดว่า จะทำอะไร โดยใครทำมากน้อยเพียงใด ที่ไหน เมื่อไร และเพื่ออะไร โดยการเรียงหัวข้อควรเรียงตามลำดับความสำคัญก่อนหลัง
4. คำถามของการวิจัย
ผู้วิจัยต้องก าหนดปัญหาขึ้น (problem identification) และให้นิยามปัญหานั้น
อย่างชัดเจน เพราะปัญหาที่ชัดเจน จะช่วยให้ผู้วิจัย ก าหนดวัตถุประสงค์
ตั้งสมมติฐาน ให้นิยามตัวแปรที่ส าคัญ ๆ ตลอดจน การวัดตัวแปรเหล่านั้นได้
ถ้าตั้งค าถามที่ไม่ชัดเจน สะท้อนให้เห็นว่า แม้แต่ตัวก็ยังไม่แน่ใจ ว่าจะศึกษาอะไร ท า
ให้การวางแผนในขั้นต่อไป เกิดความสับสนได้
คำถามของการวิจัยต้องเหมาะสม (relevant) หรือสัมพันธ์กับเรื่องที่จะศึกษา
เป็นคำถามหลัก (primary research question) เพื่อใช้ในการคำนวณขนาดของตัวอย่าง (sample size)
5. ทฤษฎีและงานวิจัยที่เกี่ยวข้อง
การทบทวนวรรณกรรม
เป็นการเขียนถึงสิ่งที่ผู้วิจัยได้มาจากการศึกษาค้นคว้าเอกสารต่างๆทั้งทฤษฎี และงานวิจัยที่เกี่ยวข้องได้แก่ ทฤษฎี หลักการข้อเท็จจริงต่างๆ แนวความคิดของผู้เชี่ยวชาญ ตลอดจนผลงานวิจัยต่างๆ
การทบทวนวรรณกรรมจะทำให้เห็นปัญหาที่จะทำผู้วิจัยรวมทั้งมองเห็นแนวทางในการดำเนินการศึกษา
6.สมมติฐาน (Hypothesis) และกรอบแนวคิดในการวิจัย (conceptual framework)
การตั้งสมมติฐาน เป็นการคาดคะเนหรือการทายคำตอบอย่างมีเหตุผล มักเขียนในลักษณะ การแสดงความสัมพันธ์ระหว่างตัวแปรอิสระหรือตัวแปรต้น(independent
variables) และตัวแปรตาม (dependent variable)
สมมติฐานทำหน้าที่เสมือนเป็นทิศทางและแนวทางในการวิจัยจะช่วยเสนอแนะ
แนวทางในการ เก็บรวบรวมข้อมูล และการวิเคราะห์ข้อมูลต่อไปสมมติฐานต้องตอบวัตถุประสงค์ของการวิจัยได้ครบถ้วนและทดสอบและวัดได้
7. ขอบเขตของการวิจัย
เป็นการระบุให้ทราบว่าการวิจัยที่จะศึกษามีขอบข่ายกว้างขวางเพียงใด เนื่องจากผู้วิจัยไม่สามารถทำการศึกษาได้ครบถ้วนทุกแง่ทุกมุมของปัญหานั้น จึงต้องกำหนดขอบเขตของการศึกษาให้แน่นอน ว่าจะครอบคลุมอะไรบ้าง
ซึ่งอาจทำได้โดยการกำหนดขอบเขตของเรื่องให้แคบลงเฉพาะตอนใดตอนหนึ่งของสาขาวิชา หรือกำหนดกลุ่มประชากร สถานที่วิจัย หรือระยะเวลา
8. การให้คำนิยามเชิงปฏิบัติที่จะใช้ในการวิจัย
ในการวิจัยอาจมี ตัวแปร (variables) หรือคำ(terms)ศัพท์เฉพาะต่าง ๆ
ที่จำเป็นต้องให้คำจำกัดความอย่างชัดเจน ในรูปที่สามารถสังเกต(observation)
หรือวัด (measurement) ได้
ไม่เช่นนั้นแล้วอาจมีการแปลความหมายไปได้หลายทาง ตัวอย่างเช่น คำว่า คุณภาพชีวิต, ตัวแปรที่เกี่ยวกับความรู้ ทัศนคติ , ความพึงพอใจ, ความปวด เป็นต้น