องค์ประกอบของระบบการกำหนดนโยบาย
(Elements of the Policy-Making System)
โครงสร้างทางสิ่งแวดล้อม (The Structural Environment)
->โครงสร้างนี้จะครอบคลุมไปด้วยการแบ่งแยกของอำนาจ(Separation of powers) ไปสู่รัฐบาล ระบบของรัฐ และสหพันธรัฐ ซึ่งจะเป็นพื้นฐานในการกำหนดกรอบแนวคิดของรัฐธรรมนูญ
1.สิ่งแวดล้อมทางสังคม (The Social Environment)
มีความสัมพันธ์กับองค์ประกอบของประชากร รวมไปถึงโครงสร้างทางสังคม ซึ่่งองค์ประกอบของประชากรประกอบด้วยอายุ เชื้อชาติ เพศ และอื่น ๆ ในการสำรวจประชากรนั้นทำให้สามารถทราบถึงแนวโน้มประชากรได้ ซึ่งแนวโน้มนี้จะเป็นอิทธิพลที่สำคัญในการกำหนดนโยบายสาธารณะ
2. สิ่งแวดล้อมทางการเมือง (The Political Environment)
มีแนวทางหนึ่งที่ผู้กำหนดนโยบายและผู้มีส่วนร่วมในทางการเมืองได้ใช้เป็นตัวเลือกของ
นโยบาย ก็คือการสำรวจความคิดเห็นของสาธารณะ ทำให้เกิดการจัดตั้งข้อมูล “the national mood” (ความรู้สึกของคนในชาติ) ซึ่้งความรู้สึกของคนในชาติและความไว้วางใจในรัฐบาลมีความสำคัญสำหรับนโยบายสาธารณะ
3.สิ่งแวดล้อมทางเศรษฐกิจ (The Economic Environment)
สิ่งแวดล้อมทางเศรษฐกิจนั้นเต็มไปด้วยการเจริญเติบโตทางเศรษฐกิจ เช่น การสร้างความมั่งคั่งทางสังคม ขนาดของอุตสาหกรรม ค่าเฉลี่ยของการเติบโตทางเศรษฐกิจ ภาวะเงินเฟ้อ ค่าจ้างแรงงาน เป็นต้น
Black Box
เป็นระบบการทำงานภายในที่ไม่สามารถอธิบายได้ เป็นระบบการทำงานบางอย่างในตัวแบบที่สามารถแปรผลให้มีการทำหน้าที่ได้ ตัวแบบที่เป็นขั้นตอนของกระบวนการ
นโยบายเป็นหนทางที่จะเปิดกล่องดำเพื่อให้มีการวิเคราะห์ที่มากขึ้น Eastonและผู้คิดค้นตัวแบบระบบ ได้กล่าวว่ากระบวนการนโยบายสาธารณะเป็นผลผลิตของระบบที่มีอิทธิพล
Free rider
ทางเศรษฐศาสตร์ หมายถึงผู้ที่ได้ประโยชน์โดยไม่ต้องเสียแรงหรือเงินทุนทางการผลิต
ทางการตลาด หมายถึง กลยุทธ์ที่ตราสินค้าเข้าไปปรากฏตัวต่อผู้บริโภค มีส่วนร่วมในกิจกรรม โดยไม่ได้จ่ายเงินในฐานะผู้สนับสนุนในกิจกรรมนั้นๆ โดยตรง
ทางสังคม หมายถึง บุคคลที่รอรับผลประโยชน์จากทางสังคมเพียงอย่างเดียว โดยไม่ทำหรือดำเนินการอะไรเลย อย่างเช่นการประท้วงเลือกตั้ง ที่พวก Free rider จะนิ่งเฉย รอรับผลประโยชน์เพียงอย่างเดียว
ผู้ที่มีส่วนร่วมในการกำหนดนโยบายมีอยู่ 2 ลักษณะ คือ
ผู้มีส่วนร่วมแบบไม่เป็นทางการและบทบาทในการกำหนดนโยบายสาธารณะ
(Unofficial Actors and Their Roles in Public Policy) --> ประกอบด้วยผู้มีบทบาทในกระบวนการนโยบายที่ไม่ได้มีภาระหน้าที่รับผิดชอบโดยตรงถึงการมีส่วนร่วมนั้น จะมีความสัมพันธ์กับผลประโยชน์ในกลุ่มของตน พร้อมที่จะสนับสนุนนโยบายที่เกี่ยวกับผลประโยชน์ของตน การทำงานในระบบของรัฐบาลนั้นไม่อาจปราศจากกลุ่มเหล่านี้ได้ ดังนั้นจึงมีความเกี่ยวทางการเมืองแต่ไม่ถูกแทรกแซงผ่านทางกฎหมายและสามารถทำให้เกิดนโยบายที่มีประโยชน์ต่อคนหมู่มากได้เช่นกัน
ปัจเจกชน (Individual Citizens
มีการศึกษามากมายเกี่ยวกับกระบวนการทางนโยบายซึ่งไม่มีความ
เชื่อมโยงกับกิจกรรมต่าง ๆ ของปัจเจกชน เนื่องด้วยการวิเคราะห์ในการกำหนดนโยบายมีการดำเนินการอยู่ภายใต้กลุ่มต่าง ๆ ทั้งในแง่ของกลุ่มอิทธิพล กลุ่มอำนาจ เป็นต้น
กลุ่มผลประโยชน์ (Interest Groups)
--> ในเชิงเศรษฐกิจได้กล่าวถึง Free Rider ซึ่งเป็นผู้ร่วมรับผลประโยชน์ แม้ว่าตนเองไม่ได้ทeอะไรก็ตาม
กลุ่มทางเศรษฐกิจจะค้นหาทางเอาชนะในปัญหาเกี่ยวกับ Free Rider โดยการสร้างผลประโยชน์เพื่อสมาชิกของกลุ่มผลประโยชน์เหล่านั้น
ชนิดของกลุ่มผลประโยชน์
1.กลุ่มผลประโยชน์ที่เป็นสถาบัน (Institutional Interest groupsic)
2. membership group
พรรคการเมือง (Political Parties)
มีความสำคัญในกระบวนการทางนโยบาย จะหาแนวทางที่น่าพึงพอใจสำหรับผู้เลือกตั้ง ให้ความสำคัญในอำนาจทางกฎหมาย ซึ่งเป็นฝ่ายนิติบัญญัติ โดยสถาบันนิติบัญญัติจะเลือกผู้นำจากสายทางการเมือง มีการจัดประชุม ติดต่อสื่อสารระหว่างแนวคิดของการเลือกตั้งและการกำหนดนโยบายของสถาบันนิติบัญญัติ
กลุ่มคณะที่ปรึกษาและองค์การวิจัยอื่นๆ
(Think Tanks and Others Research Organization)
นักวิชาการและผู้เชี่ยวชาญด้านนโยบายที่อยู่ในองค์กรจะจัดการข้อมูลต่าง ๆ เพื่อให้ผู้กำหนดนโยบายและคนที่มีอิทธิพลสามารถใช้นโยบายได้ดีที่สุด ส่วนกลุ่มนักวิจัยจะเชื่อมความสัมพันธ์ของแนวคิดและนโยบาย จนทำให้เกิดเป็นวิธีการศึกษา(Methodological)ขึ้น
สื่อสารมวลชน (Communications Media)
มีความสำคัญมากในทางการเมืองและนโยบายสาธารณะ มีเป็นความอิสระในภาคประชาธิปไตย เนื่องจากสื่อถือเป็นองค์กรที่ 4(Fourth Branch) ของรัฐบาล นอกจากนั้นยังสามารถตรวจสอบองค์กรหลักทั้งสามได้อีกด้วย ซึ่งสื่อใหม่ ๆ มีบทบาทสำคัญในการให้ข้อมูลของพลเมืองเกี่ยวกับประเด็นต่าง ๆ รวมถึงสิ่งที่รัฐบาล
กำลังทำหรือดำเนินการอยู่
ผู้มีส่วนร่วมในกระบวนการนโยบายอย่างเป็นทางการกับบทบาทในนโยบายสาธารณะ (Official Actors and Their Roles in Public Policy)
--> เกี่ยวข้องกับนโยบายสาธารณะเพราะหน้าที่รับผิดชอบจะถูกแทรกแซงผ่านทางกฎหมาย และจะมีอำนาจในการกำหนดให้เกิดเป็นนโยบายขึ้นมา เช่น กระบวนการยุติธรรม ซึ่งถือเป็นสถาบันที่เป็นทางการ
สภานิติบัญญัติ/รัฐสภา (Legislatures)
เป็นส่วนแรกของการดำเนินงานของสหพันธรัฐ ทำหน้าที่ออกกฎหมาย มีความสำคัญคือเป็นศูนย์กลางของการกำหนดนโยบาย อีกทั้งยังเป็นสถาบันที่นำประเด็นปัญหาเพื่อเข้าสู่ทางเลือกของนโยบายด้วย
สถาบันบริหาร/คณะรัฐมนตรี (The Executive Branch)
เป็นองค์กรที่นำนโยบายของรัฐไปดำเนินการและนำไปปฏิบัติ
เป็นสถาบันสร้างกฎหมายและสร้างนโยบายบริหารประเทศ จะนำนโยบาย และกฎหมายที่ผ่านความเป็นชอบของรัฐสภาแล้วไปปฏิบัติ
ฝ่ายตุลาการ/ศาล (Courts)
บทบาทของตุลาการได้มีมาเป็นเวลามายาวนาน ซึ่งในนโยบายสาธารณะมีการจัดวางให้เป็นอีกหนึ่งองค์ประกอบของรัฐธรรมนูญเพื่อเป็นเหตุสนับสนุนในการแบ่งแยกประเด็นทางการเมืองและทางกฎหมาย
การบริหารและระบบราชการ (Administrative Agencies and Bureaucrats)
ระบบราชการ ถือเป็นการจัดการของรัฐบาลที่เป็นระบบ
เศรษฐกิจสมัยใหม่และการใช้ชีวิตของคนในสังคม Max Weber
เชื่อว่าระบบราชการเป็นนวัตกรรมที่สำคัญและเป็นสมัยใหม่
ลักษณะระบบราชการของ Max Weber - พื้นที่ของเขตอำนาจทางกฎหมายที่มีกฎระเบียบเบื้องต้น - ระบบการสั่งการที่เป็นไปตามลำดับขั้น (Hierarchy)คือคนที่มีตำแหน่งที่สูงกว่าดูและตรวจตราผู้มีตำแหน่งต่ำกว่า - การจัดการที่เป็นทางการโดยมีระบบทางด้านเอกสาร ซึ่งจะช่วยให้เกิดการตัดสินใจของข้าราชการเพื่อให้เกิดการเรียนรู้ที่ดีขึ้น