การประเมิน วิเคราะห์ สังเคราะห์สารสนเทศ
(Evaluate, Analysis, Synthesis)

หัวข้อนำเสนอ

ลักษณะของสารสนเทศที่ดี

หลักเกณฑ์ในการพิจารณาสารสนเทศที่ด

การเลือกใช้สารสนเทศ

การประเมินสารสนเทศ

การวิเคราะห์สารสนเทศ

การสังเคราะห์สารสนเทศ

ขั้นตอนการประเมิน วิเคราะห์ สังเคราะห์สารสนเทศ

สารสนเทศ
จากการสืบค้น

สารสนเทศมีจำนวนมาก

ประเมิน (Evaluate)

ได้สารสนเทศที่สามารถใช้งานได้จริง

ตรงกับความต้องการ

น่าเชื่อถือ

ระดับของเนื้อหา

วิเคราะห์ (Analysis)

รับรู้ (อ่าน ดู ฟัง )บันทึกเนื้อหาของสารสนเทศ

รับร
ู้สารสนเทศ

แยกแยะเนื้อหา

สังเคราะห์ (Synthesis)

จัดกลุ่มและสร้างความสัมพันธ์ของสารสนเทศ

จัดกลุ่มเนื้อหา

จัดทำโครงร่าง

ทบทวนและปรับปรุง

ลักษณะของสารสนเทศที่ดี

ต้องมีความความถูกต้อง (Accuracy)

มีความน่าเชื่อถือ (Reliable)

ต้องมีความสมบูรณ์ (Completeness)

สอดคล้องกับความต้องการของผู้ใช้ (Relevance)

ข้าถึงได้ง่าย (Accessible)

ตรวจสอบได้ (Verifiability)

ทันต่อความต้องการใช้ (Timeliness)

มีความทันสมัย เป็ นปัจจุบัน (Up to date)

Main topic

ความเที่ยงตรง

พิจารณาเนื้อหาว่ามีส่วนใดทำให้เกิดความลำเอียง

ผู้แต่งใช้ข้อเท็จจริงสนับสนุนการแสดงความ
คิดเห็นหรือไม่

หลักเกณฑ์ในการพิจารณาสารสนเทศที่ดี

1.พิจารณาความน่าเชื่อถือ

ความถูกต้องของสารสนเทศ

เปรียบเทียบแหล่งที่มาของสารสนเทศ
กับสารสนเทศที่ได้มาจากแหล่งอื่น ๆ ว่า
สอดคล้องหรือแตกต่างกัน

มีการอ้างอิงและบรรณานุกรมหรือไม

เป็นสารสนเทศปฐมภูมิหรือทุติยภูมิ

การเขียน การสะกดคำ ถูกต้องตามหลัก
ไวยากรณ

2.พิจารณาแหล่งที่มาของสารสนเทศ

พิจารณาผู้แต่ง

- มีชื่อเสียงเป็นที่ยอมรับหรือไม่

มีคุณวุฒิและประสบการณ์ในเรื่องที่เขียนหรือไม่

มีผลงานเขียนที่เกี่ยวข้องกันในที่อื่น ๆ อีกหรือไม่

▪ พิจารณาสำนักพิมพ์หรือแหล่งผลิต

ผู้จัดพิมพ์เป็นที่รู้จักกันดีในสาขาวิชานี้หรือไม่

จัดพิมพ์จำนวนมากหรือน้อยเพียงใด

เป็นโรงพิมพ์ของมหาวิทยาลัยหรือไม

ผู้จัดพิมพ์เป็นองค์กรหรือสมาคมมืออาชีพที่มีประสบการณ์หรือไม

พิจารณาขอบเบตเนื้อหา

เป็นสารสนเทศที่มีเนื้อหาครบถ้วนสมบูรณ์

เป็นสารสนเทศที่มีเนื้อหาครอบคลุมหัวข้อเรื่อง

ถ้าเป็นสารสนเทศจากอินเทอร์เน็ตให้ดูว่ามีการเชื่อมโยงรายละเอียดกับเว็บไซต์ที่เกี่ยวข้องอื่นๆ

พิจารณาให้ตรงกับความต้องการ

ต้องการสารสทเทศที่มีเนื้อหาอย่างไร เพื่อตอบโจทย์ปัญหาคืออะไร

ต้องการสารสนเทศจากแหล่งใด รูปแบบใด

ต้องการใช้สารสนเทศไปทำอะไร

พิจารณาช่วงเวลาที่เผยแพร่

สารสนเทศถูกจัดพิมพ์เผยแพร่เมื่อใด

สารสนเทศที่ไม่ได้ระบุช่วงเวลาที่จัดพิมพ์ ให้พิจารณาถึง

แหล่งที่มาอย่างรอบคอบว่าควรจะนำมาอ้างอิงหรือไม่

เป็นสารสนเทศที่ทันสมัย จัดพิมพ์เผยแพร่ใกล้เคียงกับ
เหตุการณ์ที่เกิดขึ้น

ถ้าเป็นสารสนเทศจาก
อินเทอร์เน็ต ให้ดูวันเวลาในการ
ปรับปรุงเว็บไซต์นั้นซึ่งมักจะอยู่
ด้านล่างของหน้าเอกสาร

การเลือกใช้สารสนเทศ

การนำสารสนเทศที่ค้นคว้าได้ไปใช้เพื่อทำรายงานหรือบทนิพนธ์ ต้อง
ผ่านกระบวนการ 3 ขั้นตอน

1. การประเมินสารสนเทศ (Evaluate)

2. การวิเคราะห์สารสนเทศ (Analysis)

3. การสังเคราะห์สารสนเทศ (Synthesis)

การประเมินสารสนเทศ

ความหมายของการประเมินสารสนเทศ

การตรวจสอบว่าสารสนเทศที่ได้มานั้น สามารถตอบคำถามที่ตั้งไว่ไว้ได้ละเอียดครอบคลุมทุกประเด็น มีคำอธิบายที่เป็นเหตุเป็นผลและมีเอกสารอ้างอิงที่มีความน่าเชื่อถือเพียงใด

ความสำคัญของการประเมินสารสนเทศ

เป็นขั้นตอนในการประเมินเพื่อคัดสรรเลือกสารสนเทศที่เราได้จากการสืบค้นที่มีคุณค่ามีความน่าเชื่อถือในทางวิชาการเป็นการพิจารณาคัดเลือกจากแหล่งสารสนเทศต่างๆทั้งจากห้องสมุด อินเทอร์เน็ต เป็นต้น

หลักการประเมินสารสนเทศ

พิจารณาว่าเป็นเรื่องที่ตรงกับความต้องการอย่างแท้จริงหรือไม่

ขั้นตอนเลือกเฉพาะรายการที่เกี่ยวข้อง
กับเรื่องที่เราศึกษา

ทำได้โดยการอ่าน ชื่อเรื่อง สารบัญ คำนำ เนื้อเรื่องคัดย่อ เป็นต้น

พิจารณาว่าเป็นสารสนเทศที่มีความน่าเชื่อถือหรือไม่

ขั้นตอน1. ประเมินความน่าเชื่อถือ
ของ แหล่งสารสนเทศโดยพิจารณาว่าสารสนเทศนั้น
ได้มาจากแหล่งสารสนเทศใด

บทความบทความที่ได้จาก
วารสารวิชาการ มีความน่าเชื่อถือมากกว่า
นิตยสารหรือหนังสือพิมพ์

ขั้นตอน2.ประเมินความน่าเชื่อถือของ
ผู้เขียน ผู้จัดทำสำนักพิมพ์โดยพิจารณาว่า ผู้เขียนมีคุณวุฒิ
ความรู้ ความสามารถและประสบการณ์ตรงหรือสอดคล้องกับเรื่องที่เขียนหรือไม่

ตัวอย่างสารสนเทศที่เกี่ยวกับ
คอมพิวเตอร์ที่แต่งโดยรศ.ยืน ภู่วรวรรณ มี
ความน่าเชื่อถือกว่าที่แต่งโดยผู้แต่งที่ใช้นามแฝงว่า หนุ่มไอที

ขั้นตอน3. ประเมินความน่าเชื่อถือของทรัพยากรสารสนเทศโดยพิจารณาว่า ทรัพยากรสารสนเทศหรือสารสนเทศนั้นๆเป็นรูปแบบใด

ตัวอย่างอยู่ในรูปแบบสื่อสิ่งพิมพ์สื่อไม่ตีพิมพ์หรือสื่ออิเล็กทรอนิกส์หากเป็นสื่อ
สิ่งพิมพ์ ป็นสิ่งพิมพ์ประเภทใดหนังสือทัั่วไปหนังสือ อ้างอิง วารสาร นิตยสารเป็นต้น

ขั้นตอน4.ประเมินความทันสมัยของสารสนเทศ

สื่อสิ่งพิมพ์ พิจารณาจาก
วัน เดือน ปี ที่พิมพ

สื่ออิเล็กทรอนิกส์พิจารณาจากวัน เดือน ปีที่เผยแพร่ เป็นต้น

พิจารณาเนื้อหาของสารสนเทศว่าอยู่ในระดับใด

1.สารสนเทศปฐมภูมิ (Primary Information)

ตัวอย่างตัวอย่างงานต้นฉบับหรืองานที่ผู้เขียนเผยแพร่ครั้งแรกมักปรากฏใน
วารสารหรือรายงานการวิจัย วิทยานิพนธ

2.สารสนเทศทุติยภูมิ (Secondary Information)

ตัวอย่างเป็นการนำสารสนเทศปฐมภูมิมาเขียนใหม่ หรือเป็นเครื่องมือช่วยค้นหรือติดตามสารสนเทศปฐมภูมิเช่น หนังสือ บทคัดย่องานวิจัย บทวิจารณ์หนังสือ และวารสารสาระสังเขป

3.สารสนเทศตติยภูมิ (Tertiary Information)

เป็นการชี้แหล่งสารสนเทศ2 ประเภทแรกไม่ได้ให้มีเนื้อหาโดยตรง เช่นบรรณานุกรม ดรรชนีวารสา

การเขียนแผนผังความคิด หรือแผนที่ความคิด (Mind Map)

▪ Mind Map คือ การถ่ายทอดความคิด หรือข้อมูลต่าง ๆ ที่มีอยู่ในสมองลง กระดาษ โดยการใช้ภาพ สี เส้น และการโยงใย แทนการจดย่อแบบเดิมที่เป็น บรรทัด ๆ เรียงจากบนลงล่าง ทำให้สามารถเห็นภาพรวม และเปิดโอกาสให้ สมองให้เชื่อมโยงต่อข้อมูลหรือความคิดต่าง ๆ เข้าหากันได้ง่ายกว่า ใช้แสดงการเชื่อมโยงข้อมูลเกี่ยวกับเรื่องใดเรื่องหนึ่งระหว่าง ความคิดหลัก ความคิดรอง และความคิดย่อยที่เกี่ยวข้องสัมพันธ์กัน

ขั้นตอนการสร้างMind Map

1. เขียน/วาดมโนทัศน์หลักตรงกึ่งกลางหน้ากระดาษ
2. เขียน/วาดมโนทัศน์รองที่สัมพันธ์กับมโนทัศน์หลักไปรอบ ๆ
3. เขียน/วาดมโนทัศน์ย่อยที่สัมพันธ์กับมโนทัศน์รองแตกออกไปเรื่อย ๆ
4. ใช้ภาพหรือสัญลักษณ์สื่อความหมายเป็นตัวแทนความคิดให้มากที่สุด
5. เขียนคำสำคัญ (Key word) บนเส้นและเส้นต้องเชื่อมโยงกัน
6.กรณีใช้สี ใช้มโนทัศน์รองและย่อยควรเป็นสีเดียวกัน 7. คิดอย่างอิสระมากที่สุดขณะทำ

วิธีการเขียน Mind Map

1. เตรียมกระดาษเปล่าที่ไม่มีเส้นบรรทัดและวางกระดาษภาพแนวนอน
2. วาดภาพสีหรือเขียนค าหรือข้อความที่สื่อหรือแสดงถึงเรื่องจะทำMind Map กลาง หน้ากระดาษ โดยใช้สีอย่างน้อย 3 สี และต้องไม่ตีกรอบด้วยรูปทรงเรขาคณิต 3. คิดถึงหัวเรื่องสำคัญที่เป็นส่วนประกอบของเรื่องที่ทำ Mind Map โดยให้เขียนเป็นคำที่มีลักษณะเป็นหน่วย หรือเป็นคำสำคัญ(Key Word) สั้นๆที่มีความหมายบนเส้นซึ่งเส้นแต่ละเส้นจะต้องแตกออกมาจากศูนย์กลางไม่ควรเกิน 8 กิ่ง
4. แตกความคิดของหัวเรื่องสำคัญแต่ละเรื่องในข้อ 3 ออกเป็นกิ่ง ๆ หลายกิ่ง โดยเขียนคำหรือ วลีบนเส้นที่แตกออกไป ลักษณะของกิ่งควรเอนไม่เกิน 60 องศา

5. แตกความคิดรองลงไปที่เป็นส่วนประกอบของแต่ละกิ่ง ในข้อ4 โดยเขียนคำหรือวลีเส้นที่แตกออกไป ซึ่งสามารถแตกความคิดออกไปเรื่อย ๆ
6. การเขียนคำควรเขียนด้วยคำที่เป็นคำสำคัญ (Key Word) หรือคำหลัก หรือเป็นวลีที่มี ความหมายชัดเจน
7. คำวลีสัญลักษณ์ หรือรูปภาพใดที่ต้องการเน้น อาจใช้วิธีการทำให้เด่น เช่นการล้อมกรอ หรือใส่กล่อง เป็นต้นฃ 8. ตกแต่ง Mind Map ที่เขียนด้วยความสนุกกสนานทั้งภาพและแนวคิดที่เชื่อมโยงต่อกัน

▪ การนำไปใช้งาน

1. ใช้ระดมพลังสมอง
2. ใช้น าเสนอข้อมูล
3. ใช้จัดระบบความคิดและช่วยความจำ
4. ใช้วิเคราะห์เนื้อหาหรืองานต่างๆ
5. ใช้สรุปหรือสร้างองค์ความรู้

รูปแบบการนำเสนอ

ปัจจุบันมีหลายทางเลือกที่ใช้ในการนำเสนอ

เทคโนโลยีมีบทบาทสำคัญมากขึ้น เพราะเป็นเครื่องมือที่ ช่วยให้เราสามารถนำเสนอความคิดและสารสนเทศผ่านรูปแบบ ต่างๆ ได้ เช่น การใช้ word, desktop publishing, graphic program, audio/video editing, power point, database เป็นต้น

การนำเสนอสารสนเทศ / การนำเสนอผล

ขั้นตอนนี้ มีความเชื่อมโยงกันระหว่าง ขั้นตอนที่ 1 Task definition (ตอนแรกตั้งจุดประสงค์ไว้ว่าอย่างไร / สามารถปรับในภายหลังได้)

ต้องพิจารณาด้วยว่ารูปแบบที่ใช้เหมาะสมกับหัวข้อ หรือปัญหาที่ได้รับหรือไม่

การเขียนโครงร่าง (Outline)

เป็นการกำหนดกรอบแนวคิดและขอบเขตของเรื่อง จัดลำดับหัวข้อ
ให้มีความสัมพันธ์กัน และต่อเนื่องกัน

องค์ประกอบใน
การวางโครงร่าง

บทนำ

เนื้อหา

บทสรุป

การสังเคราะห์สารสนเทศ

จัดกลุ่มสารสนเทศที่มีแนวคิดเดียวกัน ไว้ด้วยกัน

นำสารสนเทศที่มีแนวคิดเดียวกันมาจัดกลุ่มอีกครั้งเพื่อสร้างสัมพันธ์ตามลำดับขั้น

นำแนวคิดต่างๆ ที่เราได้สร้างความสัมพันธ์ในแต่ละกลุ่ม ของแนวคิด มารวบรวมเป็นโครงสร้างใหม่ในรูปของโครงร่าง

ประเมินโครงร่างที่ได้ ครอบคลุมครบถ้วนหรือไม่ กรณีไม่

ครบถ้วน ต้องกลับไปเริ่มที่กระบวนการแสวงหาคำตอบใหม่

การสังเคราะห์ (Synthesis)

จัดสารสนเทศที่ได้มาจากแหล่งต่างๆ (Organize from
multiple sources)

นำเสนอสารสนเทศ (Present the information)

การสังเคราะห์ คือ

การจัดกลุ่มข้อมูลเรื่องเดียวกัน หรือแนวคิดเดียวกันไว้
ด้วยกัน

แล้วนำมาจัดกลุ่มอีกครั้ง ในลักษณะลำดับชั้น หรือ
รูปแบบของโครงร่าง (outline)

ซึ่งจะทำให้เห็นความสัมพันธ์ของกลุ่มข้อมูล

แล้วรวบรวมหรือสรุปให้ได้ข้อมูล/เนื้อหาใหม่ ด้วยการใช้
สำนวน ภาษาของตนเองที่มีความถูกต้อง

ตลอดจนนำเสนอในรูปแบบที่เหมาะสม

พื่อแก้ไขปัญหาตอบคำถามที่กำหนดไว้

หรือนำไปใช้ได้ตรงกับความต้องการ

ขั้นตอนนี้ จึงต้องเรียนรู้ในเรื่องที่เกี่ยวข้อง ดังนี้

การจัดกลุ่ม
ความสัมพันธ์ของ
แนวคิด / เรื่อง

การวางโครงร่าง
(Outline)

การเขียนการ
อ้างอิงและ
บรรณานุกรม

การจัดสารสนเทศโดยทั่วไป

- จัดกลุ่ม (ประเด็นใหญ่ / ประเด็นย่อย)

เรียงตามลำดับอักษร

ตามลำดับเวลา (เช่น เหตุการณ์)

ตั้งแต่ต้นจนจบ (เช่น story)

ใช้หลายๆ วิธีข้างต้นผสมผสานกัน

วิธีการจัดสารสนเทศ สามารถทำได้แบบง่ายๆ ดังนี้

นำเอกสาร หรือ ข้อมูลที่ได้มาจากแหล่งต่างๆ ที่ได้ มาอ่านอีกครั้ง

ท า Highlight / Mark ที่ประโยค หรือข้อความที่สำคัญที่จะใช้

ลองจัดกลุ่มความสัมพันธ์ของเรื่องหรือข้อมูล โดยการใส่ตัวเลข หรือตัวอักษร
ที่ข้อความนั้นๆ

จัดเรียงข้อมูลที่ได้เพื่อจัดกลุ่มใหม่อีกครั้ง (หรืออาจเขียนเป็นโครงร่าง)
เพื่อให้เห็นลำดับชั้นความสัมพันธ์ และความต่อเนื่องของข้อมูล

จะได้กลุ่มข้อมูล หรือ โครงร่างคร่าวๆ ที่มองเห็นภาพรวมของข้อมูล หรือ
คำตอบทั้งหมด (ใส่ข้อมูล มุมมอง เรียบเรียงข้อมูลด้วยภาษาของตนเอง)

การวิเคราะห์สารสนเทศ

ความหมายของการวิเคราะห์สารสนเทศ

การวิเคราะห์สารสนเทศ หมายถึงกระบวนการแยกแยะสารสนเทศที่สำคัญและสอดคล้องกับเรื่องที่ต้องการออก เป็นกลุ่มย่อยๆ โดยให้สารสนเทศที่มีเนื้อหาเดียวกันหรือที่ค้นได้จากคำสำคัญเดียวกันอยู่ด้วยกัน

กระบวนการของการวิเคราะห์สารสนเทศ

1.การอ่านเนื้อหาของทรัพยากรสารสนเทศที่ผ่านการประเมินแล้วว่าสามารถนำมาใช้งานได้จริงๆ

2.ดึงเนื้อหาของสารสนเทศที่สอดคล้องกับประเด็น
แนวคิดต่างๆ ที่เราต้องการศึกษา

3.ทeการบันทึกเนื้อหาลงในบัตรบันทึก

4.นำบัตรบันทึกมาจัดกลุ่มตามประเด็นแนวคิดเพื่อใช้ในการเรียบเรียงเนื้อหาของรายงานต่อไป

ขั้นตอนการวิเคราะห์สารสนเทศ

1. อ่านจับใจความสำคัญของเรื่อง

2. พิจารณาเนื้อหาสารสนเทศที่สอดคล้องกับประเด็นแนวคิดต่างๆที่ต้องการจะศึกษา

3. บันทึกสารสนเทศที่สอดคล้องกับเรื่องที่ต้องการ

คำสำคัญหรือแนวคิด

แหล่งที่มาของข้อมูล เช่น ชื่อผู้แต่ง ชื่อหนังสือ ชื่อบทความ สถานที่พิมพ์ สำนักพิมพ์ ปีที่พิมพ์ และเลขหน้าของแหล่งข้อมูล

ใจความหรือข้อความสำคัญ

4.จัดกลุ่มเนื้อหา

บัตรความรู้

การบันทึกเป็นการเขียนเรื่องราว ข้อความ ข้อเท็จจริงต่างๆ ที่ได้รับจากการการ
อ่านเพื่อเตือนความจำหรือศึกษาค้นคว้า

บัตรบันทึกความรู้ คือ บัตรแข็งขนาด 5x8 หรือ 4x6 หรือกระดาษรายงาน A 4 ▪พับครึ่งใช้บันทึกข้อมูลที่ต้องการควรจดบันทึกเฉพาะตอนที่จะเกี่ยวข้องกับเนื้อหาตามโครงเรื่องที่กำหนดไว้

ส่วนประกอบของบัตรบันทึกความรู้ 1. หัวข้อเรื่องที่ต้องการค้นคว้า ลงไว้ที่หัวมุมบนขวาของบัตร 2. แหล่งที่มาของข้อมูลให้เขียนตามรูปแบบบรรณานุกรม 3. เลขหน้าที่ปรากฏของข้อมูล 4. ข้อความที่บันทึก

วิธีเขียนบัตรบันทึกเนื้อหา

1. แบบย่อความ (Summary Note) หรือสรุปความ

1.1 อ่านเอกสารในหัวเรื่องที่ก าลังบันทึกให้ตลอดเสียก่อนเพื่อสำรวจเนื้อหา
สาระ และแนวคิดของเรื่อง

1.2 วิเคราะห์เนื้อหาและเก็บประเด็นหรือสาระสำคัญหลักของหัวเรื่องให้ครบถ้วน

1.3 ประเด็นรองหรือรายละเอียดที่เป็นสาระที่สำคัญของแต่ละประเด็นให้รวบรวมและจัดให้เป็นระเบียบกระทัดรัดไว้ที่ประเด็นนั้นๆ

2. แบบคัดลอกข้อความ (Quotation Note)

ลักษณะของข้อความที่บันทึกโดยวิธีคัดลอก

2.1 เป็นคำจำกัดความ หรือความหมายของคำ

2.2 เป็นสูตร กฎ หรือระเบียบข้อบังคับ

2.3 เป็นข้อความซึ่งมีเนื้อหาสาระที่หนักแน่น กะทัดรัด ลึกเฉียบคม และกินใจ

2.4 เป็นข้อความซึ่งเป็นคติเตือนใจ มีความงามและความไพเราะทางภาษา

3. แบบถอดความ (Paraphrase Note)

3.1 ต้นฉบับเป็นร้อยกรอง แต่ต้องการใช้เป็นร้อยแก้ว

ต้นฉบับเป็นภาษาที่ไม่แพร่หลายคุ้นเคย เช่น ภาษาบาลี ภาษาถิ่น
เป็นต้น

ต้นฉบับเป็นภาษาต่างประเทศ