การศึกษาประสิทธิภาพของการเล่นแบดมินตันกับการพัฒนาสมองส่วนหน้าและทักษะการประสานมือและตาของเด็กสมาธิสั้น โรงพยาบาลสมเด็จ จังหวัดกาฬสินธุ์

ข้อมูลวิจัย

ผู้วิจัย : กิตญาณี คงสมสุข พ.บ.

วว.กุมารเวชศาสตร์

วารสาร โรงพยาบาลสกลนคร ปีที่ 22 ฉบับที่ 2 พฤษภาคม - สิงหาคม 2562

บทนำ

โรคสมาธิสั้นเป็นภาวะบกพร่องในการทำหน้าที่ของสมองส่วนหน้าบริเวณ Prefrontal cortex

บกพร่องหลักสามด้าน ได้แก่ อาการซน(Hyperactivity),อาการขาดสมาธิ(Attention deficit),อาการหุนหันพลันแล่น(Impulsivity)

ประเทศไทยพบความชุกของภาวะสมาธิสั้นในเด็ก สูงถึงร้อยละ 8.1 และจากข้อมูลเวชระเบียน รพ.สมเด็จ พบเพิ่มขึ้นจาก 12 ราย ในปี 2560 เป็น 48 รายในปี 2561

การักษาใช้ยาปรับสมาธิร่วมกับพฤติกรรมบำบัด

การฝึกเล่นกีฬา

แบดมินตัน

ไม่ใช้แรงมากเหมาะกับเด็ก 7-12 ปี

ยังไม่พบการวิจัยใดมาก่อน

เสียหน้าที่ในการดำเนินชีวิตประจำวัน

พฤติกรรมก้าวร้าว ภาวะวิตกกังวลซึมเศร้า รู้สึกด้อยค่า

ปฏิสัมพันธ์กับเพื่อนและสังคม

พฤติกรรมเสี่ยง เช่น เกิดอุบัติเหตุ ใช้สารเสพติด

การเรียน

วัตถุประสงค์

เพื่อศึกษาประสิทธิภาพของการเล่นกีฬาแบดมินตันในเด็กสมาธิสั้นต่อการพัฒนาสมองส่วนหน้าและการพัฒนาทักษะการประสานมือและตา (eye-hand coordination)

สรุปและอภิปราย

เพศ, อายุ ไม่มีผลต่อความสามารถในการเล่นแบดมินตัน

แบดมินตันสามารถพัฒนาเด็กสมาธิสั้นให้มีพัฒนาการของสมองส่วนหน้าในด้านสมาธิดีขึ้น จากทฤษฎี สมองสามารถรับรู้คำอ่านได้เร็วกว่ารับรู้สี รวมทั้งมีแนวโน้มที่จะอ่านตามคำอ่านโดยอัตโนมัติ

stroop color-word การพูดสีให้ถูกต้องในขณะที่คำอ่านเป็นสีอื่นต้องใช้สมาธิมากขึ้น ผ่านกระบวนการคิดก่อนพูด

เด็กมีสมาธิมากขึ้น

ความสัมพันธ์ของกีฬาแบดมินตันกับการพัฒนาทักษะการประสานมือและตาในเด็กภาวะสมาธิสั้นได้ดีขึ้น

สอดคล้อง

Shalit และ Hantiu ศึกษาผลการอออกกำลังกายแบบ EWMN พบว่า กลุ่มที่มีการออกกำลังกายแบบ EWMN สามารถพัฒนา coordination ได้ดีขึ้นอย่างมีนัยสำคัญทางสถิติ

ข้อจำกัด

ไม่ได้ทำการวัดความฉลาดทางเชาว์ปัญญา (Intelligence Quotient) และกลุ่มตัวอย่างร้อยละ 62.5 เคยเล่นแบดมาก่อน

ความสามรถของการเล่นกีฬา

ทำการศึกษาเฉพาะเด็กที่มารับการรักษาในโรงพยาบาลสมเด็จ โดยมีสิ่งแวดล้อม ที่ใกล้เคียงกัน หากนำไปศึกษาที่อื่นอาจให้ผลต่างกันได้

การฝึกเล่นกีฬาที่ต้องมีการใช้อุปกรณ์ มีการกะระยะ เป็นอีกทางเลือกหนึ่งในการพัฒนาเด็กสมาธิสั้นนอกเหนือจากการกินยาเพียงอย่างเดียว

ข้อเสนออแนะ

1. ควรศึกษาผลการเล่นแบดมินตันกับการพัฒนาด้านพฤติกรรมและการปรับตัวที่มีผลเกี่ยวเนื่องถึงสุขภาพจิต
2. เนื่องจากผลการศึกษานี้ติดตามผลการศึกษา 1 เดือน หลังกลุ่มตัวอย่างฝึกเล่นแบดมินตัน หากมีการศึกษาระยะยาวน่าจะช่วยให้ได้ข้อมูลที่ชัดเจนยิ่งขึ้น

เอกสารที่เกี่ยวข้อง

Chang, Liu, Yu และ Lee

ผลของการออกกำลังกายกับการพัฒนาการทำงานของสมองส่วนหน้าในเด็กโรคสมาธิสั้น

ประเมินการพัฒนาสมองส่วนหน้าโดยใช้ Stroop test และ WISCT ก่อนและหลัง

พบว่า ออกกำลังกายดีกว่า

เด็ก 8- 13 ปี จำนวน 40 คน

Aerobic exercise

ดูวิดีโอออกกำลังกายเท่านั้น

Lilach และ Lacob

การออกกำลังกายแบบ EWMN เป็นแบบทดสอบมาตรฐาน

เด็กสมาธิสั้น 40 คน

ออกกำลังกายทั่วไป

ออกกำลังกาย EWMN

กลุ่มควบคุม

พบว่า การออกกำลังกายแบบ EWMN สามารถพัฒนา Coordination ให้ดีขึ้นอย่างมีนัยสำคัญทางสถิติ

วิธีการวิจัย

ศึกษาเชิงพรรณา Cross-sectional descriptive study

Pre-test และ Post-test

ใช้เกณฑ์ในการคัดอาสาสมัคร

ผู้เข้าร่วมวิจัยทำแบบทดสอบ ใช้ stroop test และ ประเมินทักษะการประสานมือและตา(eye-hand coordination)การฝึกเล่นกีฬาแบดมินตัน

แบบประเมินการโยนรับบอลเข้าผนังก่อน และ หลังการฝึกกีฬาแบดมินตัน

1 ชั่วโมง

13.00-14.00 ทุกวัน ติดต่อรวม 10 วัน ก่อนประเมินและหลังประเมิน 1 เดือน

มกราคม - เมษายน 2562

เด็กสมาธิสั้นวัยเรียน จำนวน 32 คน

การวิเคราะห์ข้อมูล

สถิติเชิงพรรณาวิเคราะห์ข้อมูลทั่วไป

ค่าเฉลี่ย

ส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐาน

มัธยฐาน

ต่าสูงสุดและค่าต่ำสุด

สถิติเชิงอนุมาน

เปรียบเทียบข้อมูลก่อนและหลัง

สถิติ Paired sample t-test (ประชากรไม่อิสระ)

ผลการศึกษา

ผู้ป่วยที่เข้าหลักเกณฑ์การศึกษาทั้งสิ้น 32 คน

ชาย 24 คน (75%)

อายุเฉลี่ย น้อยสุด 7 ปี,มากสุด 12 ปี

กินยา Methylphenidate (ไม่รับยาอื่นร่วม)

ไม่เคยเข้าร่วมกิจกรรมบำบัด

ก่อนเล่นแบดมินตัน

Stroop test

Stroop color = 20.28±2.16 sec

Stroop word = 17.81±3.03 sec

Stroop color-word = 17.69±25 sec

11.40±2.39 ครั้ง

แตกต่างกันอย่างมีนัยสำคัญทางสถิติ (p<0.001)

หลังเล่นแบดมินตัน

Stroop test

Stroop color = 22.03±2.68 sec

Stroop word = 20.84±2.52 sec

Stroop color-word = 19.56±3.13 sec

14.34±3.05 ครั้ง

ผู้จัดทำ นางสาวหัสนา คงบำรุงค์ 60161908 section 1