สังคมความรู้(Knowledge Society)🧠

r

Fcigiycgjkdnvi

2.ยุคของสังคมความรู้(Knowledge Soceity Era)

2.1 สังคมความรู้ยุคท่ี 1 เป็นสังคมความรู้ที่มีพลังและอานาจอยู่ด้วยกัน เกิดการผลิต มี ความสามารถในการแข่งขัน กลไกตลาด และความอยู่รอด

1) Knowledge Access คือ การเข้าถึงความรู้ด้วยวิธีการต่างๆ ได้แก่ การเข้าถึงความรู้ ทาง Internet หรือ ICT Connectivity ต่าง ๆ ต้องประกอบไปด้วยความสามารถในการเข้าถึงความรู้ ความใฝ่รู้ เวลาในการหาความรู้

2) Knowledge Validation คือ การประเมินความถูกต้องของความรู้ ความรู้มีท้ังของ จริงและของหลอก ดังนั้น จึงต้องมีการประเมินความถูกต้องของความรู้

3) Knowledge Valuation คือ การตีค่า การตีความรู้ ว่าเมื่อมีการใช้ความรู้น้ันแล้วมี ความคุ้มค่าหรือไม่

4) Knowledge Optimization คือ การทาความรู้ให้ง่ายที่จะใช้ การนาความรู้ออกมา เป็นกฎเกณฑ์ ระเบียบต่าง ๆ ต้องมีพ้ืนฐานมาจากความรู้

5) Knowledge Dissemination คือ การกระจายความรู้ ปัจจุบันความรู้เป็นสมบัติ สาธารณะท่ีทุกคนสามารถเข้าถึงได้ อยู่ที่ความสามารถของแต่ละคนที่จะเข้าถึงความรู้ การวิจัยหรือ ความรู้จึงเป็นเครื่องมือสาคัญในการสร้างพลังที่นาไปสู่ Empowerment ซึ่งความรู้ไม่ได้มีไว้ใช้เพียง อย่างเดียว แต่ความรู้นามาสร้างเป็นพลังได้

2.2 สังคมความรู้ยุคที่ 2 เป็นสังคมความรู้แบบพอเพียง สมดุล บูรณาการ ประชาชนและทุก ภาคส่วนมีบทบาทในการร่วมกันเป็นเจ้าของ และเป็นผู้ใช้ความรู้ให้เป็นพลัง มีความเป็นอิสระ

1) มีการสะสมความรู้ภายในสังคม

2) มีการถ่ายโอนความรู้ภายสังคม

3) มีการสร้างสรรค์ความรู้ใหม่ในสังคม

4) มีการประยุกต์ความรู้มาใช้ภายในสังคม

1.นิยามหรือความหมายของสังคมความรู้(Definition of knowledge Society)

สังคมความรู้ หมายถึง สังคมที่มีการเข้าถึงและใช้ประโยชน์จากเครือข่ายสารสนเทศสูง จากความรู้ที่มีบุคลากรทางานโดยใช้ทักษะและความรู้สู

5. กระบวนการจัดการความรู้ (Processes of Knowledge)
กระบวนการที่ช่วยให้เกิดการพัฒนาการของความรู้

1.การบ่งชี้ความรู้ เป็นการพิจารณาว่าจะทาอย่างไรให้องค์กรบรรลุเป้าหมาย โดยจะคัดเลือก ว่าจะใช้เครื่องมืออะไร และขณะนี้เรามีความรู้อะไรบ้าง อยู่ในรูปแบบใด อยู่ที่ใคร โดยอาจจะ พิจารณาว่าองค์กรมีวิสัยทัศน์ พันธกิจ ยุทธศาสตร์ เป้าหมายคืออะไร

2.การสร้างและแสวงหาความรู้ ซึ่งสามารถทาได้หลายทาง เช่น การสร้างความรู้ใหม่ แสวงหาความรู้จากภายนอก รักษาความรู้เก่า กาจัดความรู้ที่ใช้ไม่ได้แล้ว

3.การจัดความรู้ให้เป็นระบบ เป็นการวางโครงสร้างความรู้ เพื่อเตรียมพร้อมสาหรับการเก็บ ความรู้อย่างเป็นระบบเพื่อการเรียกใช้งานได้อย่างรวดเร็วและถูกต้องในอนาคต

4.การประมวลและกลั่นกรองความรู้ เช่น การปรับปรุงรูปแบบเอกสารให้เป็นมาตรฐาน ใช้ ภาษาเดียวกัน และปรับปรุงเนื้อหาให้สมบูรณ์และเหมาะสม

5.การเข้าถึงความรู้ เป็นการทาให้ผู้ใช้ความรู้เข้าถึงความรู้ที่ต้องการได้ง่ายและสะดวก โดย การใช้พวกระบบเทคโนโลยีสารสนเทศ(IT) หรือการประชาสัมพันธ์บน Web board

6.การจัดการความรู้ในองค์กรการแบ่งปันแลกเปลี่ยนความรู้ ทาได้หลายวิธีการซึ่งจะแบ่งได้ สองกรณีได้แก่ Explicit Knowledge อาจจะจัดทาเป็นเอกสาร ฐานความรู้ และเทคโนโลยี สารสนเทศต่างๆ หรือ Tacit Knowledge จัดทาเป็นระบบ ทีมข้ามสายงาน กิจกรรมกลุ่มคุณภาพ และนวัตกรรม ชุมชนแห่งการเรียนรู้ ระบบพี่เลี้ยง การสับเปลี่ยนงาน การยืมตัว และเวทีการ แลกเปลี่ยนความรู้ เป็นต้น

7.การเรียนรู้ ควรทาให้การเรียนรู้เป็นส่วนหน่ึงของงาน เช่น การเรียนรู้จากสร้างองค์ความรู้ การนาความรู้ไปใช้ให้เกิดการเรียนรู้และประสบการณ์ใหม่ๆ และนาความรู้ที่ได้ไปหมุนเวียนต่อไป อย่างต่อเนื่อง

3.ลักษณะสังคมเเห่งการเรียนรู้

3.1 ไม่จากัดขนาดและสถานที่ต้ัง

3.2 เน้นการจัดการเรียนรู้เป็นปัจจัยหลัก

3.3 ประชาชนได้รับโอกาสการพัฒนา (Key Individuals)

3.4 สถาบันทางสังคมในพื้นที่เป็นตัวหลักในการริเริ่ม/ดาเนินการ (Key Institutions)

3.5 มีกลุ่มภาคประชาชนเป็นแกนกลาง (Core Groups) เพื่อรวมตัวกันจัดกิจกรรมพัฒนาชุมชน

3.6 มีการพัฒนานวัตกรรมและระบบการเรียนรู้

3.7มีภาคีเครือข่ายที่ร่วมดาเนินการอย่างต่อเนื่อง

3.8 การริเริ่ม/การเปลี่ยนแปลงมีอยู่ตลอดเวลา

3.9 สถานศึกษาเป็นส่วนหนึ่งของชุมชนแห่งการเรียนรู้

3.10 ความรับผิดชอบเป็นหน้าที่ของบุคคลและชุมชนร่วมกัน

3.11 ทุกคนเป็นครูและผู้เรียน

4.ความรู้(Knowledge)

4.1 ความรู้ทั่วไปเกี่ยวกับ “ความรู้”

4.1.1 ความหมายของข้อมูล (Data)

ข้อมูล หมายถึง ข้อมูลดิบที่เกิดจากการทางาน ประจาวัน ซึ่งถือว่าเป็นข้อมูลในระดับปฏิบัติการ

1) ข้อมูลตัวเลขหรือข้อมูลเชิงจานวน (Numeric Data) เป็นข้อมูลตัวเลข ที่สามารถ นามาบวก ลบ คูณ หารได้ เช่น ข้อมูลบัญชีการเงิน ราคาสินค้า เป็นต้น

2) ข้อมูลตัวอักษรหรือข้อมูลที่เป็นข้อความ (Text Data) เป็นข้อมูลที่ไม่สามารถนามา คานวณได้ เช่น ชื่อคน ชื่อบริษัท เป็นต้น

3) ข้อมูลกราฟิก (Graphical Data) เป็นข้อมูลเกี่ยวกับการสร้างภาพกราฟิก เช่น ข้อมูลภาพโต๊ะ ภาพเก้าอี้ ภาพอาคาร เป็นต้น

4) ข้อมูลภาพลักษณ์ (Image Data) เป็นข้อมูลที่เกิดจากการถ่ายภาพกล้องดิจิตอล หรือ การสแกนเอกสารด้วยเครื่องสแกนเนอร์ ข้อมูลประเภทนี้จัดเก็บเป็นจุดภาพและไม่สามารถนาไป คานวณได้ เช่น ภาพใบหน้าของพนักแต่ละคนในบริษัท เป็นต้น

5) ข้อมูลเสียง (Voice Data) คือ เสียงต่างๆ ได้แก่ เสียงสั่งงานคอมพิวเตอร์ หรือ เสียงพูด เสียงท่ีบันทึกไว้ฟัง เป็นต้น

4.1.2 ความหมายของสารสนเทศ (Information)

สารสนเทศ หมายถึง ข้อมูลที่ถูก มนุษย์วิเคราะห์และตีความแล้ว มีคุณค่าสูงกว่าข้อมูล เนื่องจากสามารถสื่อความหมายได้โดยมีความ ครอบคลุมที่กว้างกว่า

4.2 ความหมายของความรู้ (Definition of Knowledge)

ความรู้ หมายถึง ส่วนผสมท่ีเกิดจาก ประสบการณ์การทางาน และประสบการณ์ที่เกิดขึ้นใหม่ที่พร้อมจะถูกนาไปใช้เพื่อการตัดสินใจและ การกระทาต่างๆ

4.2 ประเภทรูปแบบความรู้ (Type of Knowledge)

1) Tacit Knowledge ความรู้ที่ซ่อนอยู่ในแต่ละบุคคลหรือความรู้ท่ีซ่อนเร้น เป็น ความรู้ที่ได้จากประสบการณ์ ความเช่ียวชาญหรือสัญชาติญาณของแต่ละบุคคลในการทาความเข้าใจ ในสิ่งต่างๆ เป็นความรู้ที่สามารถอธิบายได้และไม่สามารถถ่ายทอดออกมาเป็นคาพูดหรือลายลักษณ์ อักษรได้โดยง่าย เช่น ทักษะในการทางาน งานฝีมือ หรือการคิดเชิงวิเคราะห์

2) Explicit Knowledge ความรู้ที่เด่นชัดหรือความรู้ที่บันทึกไว้ เป็นความรู้ที่สามารถ รวบรวม ถ่ายทอดได้ โดยผ่านวิธีต่างๆ เช่น ฐานข้อมูล ระบบผู้เชี่ยวชาญ รายงาน ทฤษฎี คู่มือต่างๆ ในบางครั้งเรียกว่าเป็นความรู้แบบรูปธรรม