Smart Phone

Smart Phone

Samsung

Samsung

ประวัติ

r

หน้าแรกข้อมูลมือถือข่าววีดีโอ ช้อปปิ้งออนไลน์ วิวัฒนาการก้าวสำคัญกว่าจะมาเป็น Samsung ข่าวเทคโนโลยี » หมวดอื่นๆ | 4 ธันวาคม 2556, 17:50 น. ICT สยามโฟน ดอท คอมข่าวต่างประเทศอ่าน: 50,9292LIKE & SHARESShare on FacebookShare on Twitterผู้ใช้งานสมาร์ทโฟนทั่วโลกคงไม่มีใครไม่รู้จักแบรนด์ยักษ์ใหญ่จากประเทศเกาหลีใต้อย่าง Samsung อย่างแน่นอน แต่จะมีซักกี่คนที่ทราบถึงประวัติความเป็นมาของ Samsung ว่ากว่าจะกลายมาเป็นยักษ์ใหญ่ในวงการอิเล็กทรอนิกส์ระดับโลกนั้นมีที่มาอย่างไร จึงขอย้อนกลับไปเพื่อบอกเล่าถึงประวัติของ Samsung ให้ได้ทราบกันอีกด้วยในวันที่ 1 มีนาคม 1938 บริษัท Samsung ได้ถูกก่อตั้งขึ้นโดยประธานผู้ก่อตั้งนามว่า เบือง ชุล ลีได้เริ่มธุรกิจที่เมืองแตกู ประเทศเกาหลีใต้ ด้วยเงินเพียง 30,000 วอน และในช่วงแรกของการทำธุรกิจนั้นเน้นที่การส่งออกสินค้า เช่น ปลาแห้งเกาหลี ผัก และผลไม้ เพื่อส่งออกไปที่แมนจูเรียและปักกิ่งปี 1947 ได้เกิดสงครามเกาหลีขึ้นทำให้สภาพเศรษฐกิจมีการชะลอตัว แต่หลังจากสงครามเกาหลีจบลงทางบริษัท Samsung ได้ดำเนินธุรกิจเกี่ยวกับสิ่งทอ รวมถึงการสร้างโรงงานสิ่งทอที่ใหญ่ที่สุดในประเทศเกาหลีใต้อีกด้วยปี 1960 บริษัท Samsung ก้าวเข้าสู่อุตสาหกรรมอิเล็กทรอนิกส์เต็มตัว โดยบริษัทแบ่งแผนกไว้ทั้งหมด 4 แผนก ดังนี้ แผนกอุปกรณ์อิเลคทรอนิคส์, แผนกกลศาสตร์ไฟฟ้า, แผนกซัมซุงคอร์นนิ่ง และแผนกซัมซุงเซมิคอนดักเตอร์และโทรคมนาคม และหลังจากนั้นทางบริษัท Samsung จึงได้เริ่มต้นการผลิตโทรทัศน์ขาวดำตั้งแต่นั้นเป็นต้นมาปี 1980 บริษัท Samsung ได้ก้าวเข้าสู่อุตสาหกรรมฮาร์ดแวร์สำหรับการสื่อสารโทรคมนาคม ด้วยการเข้าซื้อกิจการของบริษัท Hanguk Jenja Tongsin หลังจากนั้นทางบริษัท Samsung ก็ได้เริ่มต้นการผลิตโทรศัพท์มือถือ อีกทั้งบริษัทได้ลงทุนด้วยจำนวนเงินมหาศาลไปกับการวิจัยเพื่อนำมาพัฒนาโทรศัพท์มือถือของตัวเองตลอดปี 1980 และในช่วงเวลาเดียวกันนี้เองทางบริษัท Samsung จึงได้ขยายบริษัทไปยังต่างประเทศ เช่น ประเทศโปรตุเกส, นครนิวยอร์ก, มหานครโตเกียว, ประเทศอังกฤษ และรัฐเท็กซัสปี 1987 ถือเป็นปีแห่งการเปลี่ยนแปลงด้วยเหตุการณ์การจากไปของประธานผู้ก่อตั้งนามว่า เบือง ชุล ลี ทำให้ทางบริษัท Samsung ได้แยกกลุ่มธุรกิจออกเป็น 4 กลุ่มธุรกิจ ดังนี้ เช่น Samsung Group ดูแลเกี่ยวกับผลิตภัณฑ์และอุปกรณ์อิเล็กทรอนิกส์, Shinsegae Group ดูแลเกี่ยวกับธุรกิจอาหาร, สารเคมี, การขนส่ง, ธุรกิจด้านความบันเทิง, กระดาษ และโทรคมนาคม รวมถึงอีกสองกลุ่มธุรกิจที่เหลือคือ CJ Group และ Hansol Group อีกด้วยปี 1993 ทางบริษัท Samsung ยังคงให้ความสำคัญในการพัฒนาอุตสาหกรรมสำคัญของบริษัทตัวเองอย่างต่อเนื่อง โดยเน้นการพัฒนาศักยภาพของตัวเองให้สูงขึ้น ดังนี้ ด้านอิเล็กทรอนิกส์, ด้านวิศวกรรม และด้านสารเคมีปี 2005 ทางบริษัท Samsung ยังคงมุ่งเน้นพัฒนาศักยภาพทางเทคโนโลยีของตัวเองอย่างต่อเนื่อง โดย Samsung ได้ลงทุนไปมหาศาลกับการพัฒนาเทคโนโลยีหน้าจอ LCD ของตัวเอง และส่งผลให้ทาง Samsung กลายเป็นผู้ผลิตพาเนลหน้าจอ LCD รายใหญ่ของโลกไปในทันทีในปีเดียวกันนี้ปี 2006 ทาง Samsung ได้ร่วมมือกับบริษัทผู้ผลิตสินค้าอิเล็กทรอนิกส์รายใหญ่ของประเทศญี่ปุ่นอย่าง Sony เพื่อเป็นการร่วมทุนธุรกิจผลิตจอแอลซีดีในประเทศเกาหลีใต้ ซึ่งทั้งสองบริษัทนั้นได้ถือครองหุ้นเท่ากันที่ 50 เปอร์เซ็นต์ปี 2011 ทาง Samsung ได้ดำเนินการเข้าซื้อหุ้นทั้งหมดจากการร่วมทุนธุรกิจผลิตจอแอลซีดีที่ทาง Sony ถือครองหุ้นอยู่ที่ 50 เปอร์เซ็นต์ โดยคาดกันว่าที่ทาง Samsung เข้าซื้อหุ้นทั้งหมดนั้น เนื่องมาจากทาง Sony มีปัญหาการขาดทุนเป็นจำนวนเงินมหาศาลของธุรกิจโทรทัศน์นั่นเอง ทำให้ทาง Samsung เป็นเจ้าของบริษัทผลิตจอแอลซีดีเต็มตัวอีกด้วยปี 2012 ทาง Samsung ได้แสดงศักยภาพได้อย่างเด่นชัดด้วยการเป็นผู้ผลิตโทรศัพท์มือถือรายใหญ่ของโลก โดยการสร้างโรงงานผลิตที่มีมูลค่าสูงถึง 4 พันล้านเหรียญดอลลาร์สหรัฐ และโรงงานผลิตนั้นตั้งอยู่ที่เมืองออสติน รัฐเท็กซัส ประเทศสหรัฐอเมริกาปัจจุบันทาง Samsung ถือเป็นบริษัทผู้ผลิตอุปกรณ์อิเล็กทรอนิกส์รายใหญ่ของโลกอย่างไม่มีข้อกังขา และยังคงสร้างสรรค์นวัตกรรมใหม่ๆ อย่างไม่หยุดยั้งอีกด้วยนั่นเองประวัติโลโก้ของ Samsungคำว่า Samsung ในภาษาเกาหลีมีความหมายว่า "สามดาว" โดยโลโก้ที่ทาง Samsung ได้ใช้นั้นมีทั้งหมด 5 โลโก้ ดังนี้ โลโก้ตัวแรกของ Samsung มีชื่อว่า Samsung Byeolpyo noodles เริ่มใช้ตั้งแต่ปี 1938-1958โลโก้ตัวที่สอง มีชื่อว่า Samsung Group logo เริ่มใช้ตั้งแต่ปี 1969-1979โลโก้ตัวที่สาม มีชื่อว่า Samsung Group logo (“three stars”) เริ่มใช้ตั้งแต่ปี 1980-1992โลโก้ตัวที่สี่ มีชื่อว่า Samsung Electronics logo เหมือนเป็นการรวมเอาโลโก้ที่สองและโลโก้ที่สามมาผสมผสานกัน เริ่มใช้ตั้งแต่ปี 1980-1992โลโก้ปัจจุบัน ได้ถูกใช้มาตั้งแต่ปี 1993

a

Subtopic

เรือธง

Samsung Galaxy Not 9

Samsung Galaxy S9 Plus

จุดเด่น

ครอบคลุมทุกการใช้งาน

งานวิดิโอในระดับดีมาก

Vivo

Vivo

ประวัติ

r

vivo แอนดรอยด์แบรนด์จีนน้องใหม่ที่ตอนนี้หลายๆคนน่าจะเริ่มเห็นการโหมโฆษณา ปิดประกาศ ไปตามสถานที่ต่างๆทั้งในห้าง อาคาร ร้าน ตามท้องถนน หรือแม้แต่บนโลกออนไลน์ ซึ่งเชื่อว่าหลายๆคนคงสงสัยว่าแบรนด์นี้เป็นใคร มาจากไหน ดียังไง ฉะนั้นวันนี้เดี๋ยวเราไปทำความรู้จักกับ vivo (วีโว่) กันดีกว่าครับประวัติความเป็นมาของ vivovivo แม้ว่าอาจจะเป็นแบรนด์ที่คนไทยฟังไม่คุ้นหู แต่ว่าบริษัทนี้ได้ก่อตั้งมาตั้งแต่ปี พ.ศ. 2538 รวมจนถึงตอนนี้ก็ราว 19 ปีแล้ว ทำตลาดอยู่ที่ประเทศจีน ขายสินค้าอิเลคโทรนิคส์มาโดยตลอด ไม่ว่าจะเป็นเครื่องเล่น mp3, mp4, หรือฟีเจอร์โฟนภายใต้แบรนด์ “ปู้ปู้เกา” และได้เริ่มทำสมาร์ทโฟน ใช้ระบบปฎิบัติการณ์แอนดรอยด์ตัวแรกเมื่อปี 2011 คือรุ่น vivo x1 มีศูนย์วิจัยเป็นของตัวเองและนักพัฒนากว่า 800 ชีวิตอยู่ที่นั่นvivo x1 แอนดรอยด์เครื่องแรกจาก vivo มาตรฐานการผลิตสินค้าโรงงานผลิตของ vivo อยู่ที่มณฑลกวางตง ประเทศจีน ซึ่งการผลิตสมาร์ทโฟนของวีโว่จะมีการทดสอบลักษณะเดียวกับแบรนด์ดังๆ เช่น ทดสอบการกดบนหน้าจอกว่า 3 แสนครั้ง เพื่อตรวจสอบความผิดปกติของเซนเซอร์ หรือทดสอบอุณหภูมิที่สามารถใช้งานได้ โดยนำมือถือ vivo เข้าใส่ตู้อบที่ปรับให้เย็นถึง -25° และร้อนที่ 75° แล้วออกมาก็ยังสามารถใช้งานได้ มาตรฐานด้านการผลิตได้รับ ISO 9001 มีขายอยู่ในกี่ประเทศปัจจุบัน vivo วางจำหน่ายในประเทศ จีน ไทย มาเลเซีย อินโดนีเซีย อินเดีย และพม่า โดยปัจจุบันในไทยจะมีการวางจำหน่ายอยู่ 4 รุ่นคือ XShot, X3S(รีวิว), Y15, Y22 และเตรียมนำรุ่นใหม่ๆเข้ามาอีก 4 รุ่นในปีนี้ vivo X3S (12,990บาท) และ vivo Xshot (16,990บาท)Funtouch OS based on Androidเช่นเดียวกับสมาร์ทโฟนจากเมืองจีนหลายๆแบรนด์ที่ทำการปรับแต่งซอฟท์แวร์แอนดรอยด์ให้มีจุดเด่นในแบบของตัวเอง และ Funtouch OS ก็เป็นหนึ่งในนั้น โดยมีการเพิ่มเติมความสามารถหลายอย่าง เช่น smart wake, เปลี่ยนธีม, ปรับปรุง UI, และอื่นๆสามารถหาลองเครื่องได้ที่ไหนNoShopPlace1โฟนเซ็นเตอร์ชั้น 1 เซ็นเตอร์วัน อนุสาวรีย์2A.A.Phoneชั้น 2 พันธุ์ทิพย์ งามวงศ์วาน การ์ฟองLotus บางแค3โมโตโรล่าเดอะมอลล์บางแค4Application Centerฟิวเจอร์พาร์ครังสิต5เมจิโกลดีเซียรังสิต6แพลตตินั่ม อินเตอร์เนชั่นเนลฟอร์จูน7ไอทรีนิตี้ฟอร์จูน8Supper plusชั้น 4 ยูนเนียนมอล9PDA Best Buyชั้น 3 ฟอร์จูน10 ชั้น 2 เดอะมอลล์ งามวงศ์งาน ใน Lasvegus, 9 studio11King Telecomชั้น 2 เซ็นจูรี่ (ขึ้นบันไดเลื่อนแล้วเจอเลย)12JC Mobileชั้น 4 อิมพีเรียลเวิร์ลสำโรง13Banana ChickN Mark Plaza บางกะปิ ชั้น 214สหมือถือN Mark Plaza บางกะปิ ชั้น 315I-Coverซีคอนสแควร์ ชั้น B1 โซน Mobile Zone16EnterpriseMBK ชั้น 417B&B mobileMBK ชั้น 418UR StoreMBK ชั้น 419Tree MobileMBK ชั้น 42055 PhoneMBK ชั้น 421SisterMBK ชั้น 422EST 2000MBK ชั้น 423I.F.M ShopIntra ชั้น 124O.M. ShopIntra ชั้น 125Studio Phoneเซ็นทรัล พระราม 3 ตรงข้าม True26รักมือถือซีคอนสแควร์ ชั้น B1 จุด MBK14727ทัชช้อปซ.ยาสูบ 1 ถ.วิภาวดี28แอ๊ดวานซ์ โมบายซีคอนสแควร์ ชั้น B129กิ๊กโมบายซีคอนสแควร์ ชั้น B1 จุด MBK08630บีบีเอส โมบาย2อิมพีเรียลเวิร์ลสำโรง31ชัวร์ไลฟ์เซ็นทรัลเวิร์ล ชั้น 431CSCทุกสาขาศูนย์บริการ และการรับประกันสำหรับใครที่สงสัยเกี่ยวกับเรื่องการรับประกันของแบรนด์ vivo ได้ไปสอบถามรายละเอียดการรับประกันมาให้ดังนี้ครับ อุปกรณ์ระยะเวลาวิธีการบริการลูกค้าอุปกรณ์หลักตัวเครื่องโทรศัพท์1 ปีรับประกันการซ่อมภายใน 7 วันคืน/เปลี่ยน/ซ่อมภายใน 15 วัน*เปลี่ยน/ซ่อมอุปกรณ์เสริมแบตเตอรี6 เดือนเปลี่ยนให้ใหม่เครื่องชาร์จ, สายชาร์จ, เมมโมรีการ์ด1 ปีเปลี่ยนให้ใหม่ชุดหูฟัง3 เดือนเปลี่ยนให้ใหม่เงื่อนไขในการเปลี่ยนสินค้า : ต้องเปลี่ยนสินค้าที่เป็นรุ่นเดียวกันและสีเดียวกันเท่านั้นทั้งนี้ความเสียหายอันเกิดจากตัวลูกค้า บริษัทจะไม่รับเปลี่ยน-คืนสินค้าตามเงื่อนไขที่กำหนดไว้กรณีส่งซ่อม การันตีรับเครื่องคืนภายใน 7 วัน*ทางบริษัทแจ้งว่ามีการปรับนโยบายใหม่จากเดิม 30 วันเป็น 15 วัน (9 กุมภาพันธ์ 2558)ข้อมูลโดยนางสาวปิยธิดาโชติทัตต์ (Brand Manager) และ นายอิทธิฤทธิ์ จารุศิริ (Training Manager)

a

เรือธง

Vivo nex

Vivo V11

จุดเด่น

กล้องหน้าเทพ

Oppo

Oppo

ประวัติ

r

ARTICLEประวัติ Oppo ผู้ผลิตมือถืออันดับหนึ่งในจีน เจ้าของดีไซน์ Find X สุดล้ำในวันนี้โดยZNeze19 July 2018 11:31 amFacbook3TwitterGoogle PlusLineประวัติ Oppo น่าจะเป็นอีกสิ่งที่หลายคนอยากรู้กัน หลังจากได้เห็นการเปิดตัวอย่างยิ่งใหญ่ไปเรียบร้อย กับเครื่องสุดล้ำอย่าง Find X ที่ไม่น่าจะมีใครคาดคิดมาก่อน ว่าแบรนด์มือถือจากจีนรายนี้ จะมาถึงวันที่มีเทคโนโลยีการออกแบบล้ำหน้ากว่าแบรนด์จากฝั่งตะวันตกได้ วันนี้เราจะพาย้อนกลับไปดูที่มาที่ไปของแบรนด์จีนสุดยิ่งใหญ่นี้กันซักหน่อย ว่าไปยังไงมายังไง ถึงกลายมาเป็นผู้ผลิตมือถือใหญ่ที่สุดในจีนได้ประวัติ OPPOแบรนด์ Oppo ถือกำเนิดขึ้นเมื่อ 18 ปีที่แล้ว คือปี 2001 จาก Chen Mingyong (陈明永) ทำสินค้าเกี่ยวกับด้านระบบเครื่องเสียง Hi-Fi Audio System ภายในบ้าน หรือก็คือเครื่องเสียงสำหรับดูหนังฟังเพลงภายในบ้านนั่นเอง ใครที่เป็นนักเล่นเครื่องเสียง หรือเคยได้ผ่านหูผ่านตากันมาก่อน น่าจะต้องเคยได้ยินแบรนด์นี้อย่างแน่นอน เพราะคุณภาพนั้นถือว่าดีเยี่ยมไม่แพ้แบรนด์จากตะวันตก แต่มีราคาค่าตัวที่ถูกกว่ามากChen Mingyong (陈明永) ผู้ก่อตั้งและ CEO ของ Oppoแล้วก็พัฒนามาเรื่อยไปจนถึงเครื่องเล่นแผ่น DVD ในสมัยนั้น แล้วก็ขยับตามเทคโนโลยี Blu-ray ความละเอียดระดับ 4K UHD เครื่องเสียงและเครื่องเล่นแผ่นของ Oppo มีการขยายฐานตลาดออกไปทั่วโลก ซึ่งในตลาดตะวันตกก็ได้รับการตอบรับที่ดีเยี่ยมพอสมควรด้วยเช่นกันOppo UDP-203 เครื่องเล่น 4K Ultra HD Blu-rayจนมาถึงปี 2012 ที่เริ่มขยับเข้ามาจับตลาดมือถือ จากการตั้งเป้าเป็นมือถือถ่ายรูปเซลฟี่สวย ให้ฉีกตลาดแตกต่างจากคู่แข่ง ที่ก็มีจำนวนมากอยู่แล้วในตลาด และก็ขยับเข้ามาทำตลาดในไทยด้วย ซึ่งถ้าย้อนกลับไป เชื่อว่าใครหลายคนน่าจะรู้จักแบรนด์นี้กันครั้งแรก กับเครื่องสุดแปลก Oppo N1 ที่สามารถหมุนกล้องด้านบนเครื่อง ให้ถ่ายทั้งด้านหน้า หรือด้านหลังก็ได้ ตัวเดียวทำหน้าที่ได้ 2 อย่างเลย เรียกว่าเฟี้ยวสุดๆเลย สมัยนั้นมือถือ Oppo N1แล้วก็ตามต่อมาด้วย Oppo Find 7, Oppo R5, Oppo Mirror 5, Oppo F1, Oppo R9 Plus มีหลายรุ่นมากจนเราคงมาไล่ให้ฟังกันไม่หมด เดี๋ยวจะยาวจนเกินไป และแน่นอนว่าวันนี้ ก็ได้เปิดตัวเครื่องสุดล้ำ Oppo Find X ไปเป็นที่เรียบร้อยOppo Find Xนับรวมสิริเวลาที่ Oppo ก่อตั้งมาจนถึงวันนี้ ก็เป็นเวลากว่า 18 ปีแล้ว (แต่งานที่ฉลองครบรอบ 10 ปีไปนั้น คือนับเวลาที่เข้ามาทำตลาดในบ้านเรานะ) ด้วยความนิยม และเทคโนโลยีที่บริษัทมี เชื่อแน่ว่านี่จะกลายเป็นแบรนด์อันดับต้นๆของโลกไปอีกหลายปี และเราคงจะได้เห็นลูกเล่นใหม่ๆ ความสามารถที่เกิดคาดออกมาให้เราได้ใช้งานกันอีกหลายชิ้นแน่นอน

a

เรือธง

Oppo Find X

Oppo R17 Pro

จุดเด่่น

กล้องหน้าเทพ

สเปกแรง

Xiomi

Xiomi

ประวัติ

r

ไม่กี่ปีที่ผ่านมาเราคงคุ้นชื่อแบรนด์ Xiaomi ในนามผู้ผลิตสมาร์ทโฟนและฮาร์ดแวร์สเปกสูงราคาประหยัดจากจีน ด้วยอัตราการเติบโตอย่างรวดเร็วในระยะเวลาไม่นาน จึงจูงใจให้เราอยากนำเสนอเรื่องราวของสตาร์ตอัพรายนี้ครับ เผื่อจะจุดไฟแรงบันดาลใจผู้คนให้ลุกขึ้นมาสร้างสิ่งใหม่กัน(disclaimer: ผมยังไม่กล้าเขียนชื่อแบรนด์-ชื่อผู้คนในงานเขียนนี้เป็นภาษาไทยนะครับ เพราะยังไม่ทราบว่าวิธีการอ่านที่ถูกต้องว่าเขาอ่านอย่างไร)เริ่มต้นจากการทำรอม - หลอมรวมหัวกะทิXiaomi เริ่มก่อตั้งเมื่อเดือนเมษายนปี 2010 โดย Lei Jun อดีตซีอีโอของ Kingsoft (บริษัทซอฟต์แวร์รายหนึ่งของจีน ทำพวกแอพออฟฟิศ, แอนตี้ไวรัส ฯลฯ) และเป็นผู้ก่อตั้งเว็บไซต์พอร์ทัลไอทีและดาวน์โหลดโปรแกรมนามว่า Joyo.com และในปี 2004 ก็ถูก Amazon ซื้อไปเป็น Amazon Chinaตอนเริ่มแรก Xiaomi ยังไม่ได้ทำฮาร์ดแวร์ของตัวเอง แต่เริ่มจากเป็นทีมทำรอมแบบ after market ให้สมาร์ทโฟนแอนดรอยด์ในนาม MIUI (อ่านว่า "Me You I") ปัจจุบันรอมตัวนี้ยังคงพัฒนาอย่างต่อเนื่อง ทั้งเพื่อใช้งานกับสมาร์ทโฟนของตัวเอง และใช้กับสมาร์ทโฟนแบรนด์อื่นๆ แล้วกว่า 200 รุ่น จุดเด่นของรอม MIUI น่าจะอยู่ที่ความเรียบง่ายและสวยงามต่อเติมจากฟังก์ชั่นพื้นฐานของระบบแอนดรอยด์ทั่วไป (และอดไม่ได้ที่จะเทียบเคียง iOS ในบางมิติ)ชายเสื้อแดงตรงกลางภาพคือ Lei Jun ซึ่งปัจจุบันดำรงตำแหน่ง CEO และ Chairman ของ Xiaomi ล้อมรอบด้วยทีมงานและผู้ร่วมก่อตั้งไม่ได้มีแค่แม่ทัพ แต่ทีมผู้ร่วมก่อตั้ง Xiaomi มีทั้งหมด 8 คน ประกอบด้วย (เรียงจากซ้ายไปขวา):Bin Lin - อดีตมันสมองเบื้องหลัง Windows Vista, IE 8 ของไมโครซอฟท์ และเคยเป็นขุนพลสำคัญของ Google ในจีนJiangji Wong - อดีตคนของสถาบันวิศวกรรมไมโครซอฟท์ประเทศจีน ปัจจุบันดูแลทีม Mi Wi-Fi และ Mi CloudGuangping Zhou, PhD - อดีตหัวหน้าทีม R&D ของ Motorola ในโปรเจกต์โทรศัพท์มือถือตระกูล "Ming" ปัจจุบันเป็น director อยู่ในทีมพัฒนาสมาร์ทโฟนWanqiang Li - มิตรสหายจาก Kingsoft ปัจจุบันดูแลช่องทางอีคอมเมิร์ซ, การตลาด และงานปฏิบัติการทั่วไปใน mi.comDe Liu - อดีตคณบดีภาควิชาออกแบบอุตสาหกรรมจากมหาวิทยาลัยเทคโนโลยีปักกิ่ง เข้ามาดูแลเรื่องการดีไซน์และการพัฒนา Ecosystem ของบริษัทChuan Wong - อดีตผู้ก่อตั้งบริษัท Thunder Stone Technology ซัพพลายเออร์อุปกรณ์เอวี (ภาพและเสียง) และก่อตั้ง Beijing Duokan Technology ทำแอพอ่านอีบุ๊ก ก็ถูกซื้อเข้าเป็นหนึ่งเดียวกับ Xiaomi เข้ามาดูแลส่วนอินเทอร์เน็ตทีวี อย่าง Mi TV และ Mi BoxFeng Hong อดีตวิศวกรซอฟต์แวร์จาก Google สำนักงานใหญ่ มาเป็นตัวตั้งตัวตีในสายงานการพัฒนารอม MIUIในเวทีโลก Xiaomi ยังมี Hugo Barra อดีตรองประธานของ Android Product Management จาก Google มาช่วยดูแล Xiaomi ในส่วน Global Division ด้วย ช่วยขยายตลาดของบริษัทไปยังประเทศอื่นๆ นอกจีนได้มากขึ้นเห็นได้ว่า Xiaomi ก่อตั้งขึ้นด้วยทีมงานผู้ทรงประสบการณ์ในแต่ละสาขารอบด้าน ไม่เว้นแม้แต่ด้านคอนเทนต์ ที่ได้ Tong Chen อดีตรองประธานและบรรณาธิการบริหารของ Sina.com พอร์ทัลไซต์ใหญ่สุดของจีนมาช่วยดูแล โดยรวมแล้วเรียกว่าฟอร์มดีอย่างยิ่งเป็นเกร็ดนิดหนึ่ง: มีการพูดถึงสกิลภาษาอังกฤษอันไม่แข็งแรงในการเปิดตัว Mi 4i ที่อินเดียของ CEO Lei Jun ด้วย แต่ผลที่ได้รับคือ... (ไม่ clickbait) มีการวิพากษ์ในวงกว้างแต่ก็ไม่ได้ส่งผลลบร้ายแรงถึงแบรนด์ขนาดนั้นตัวรอม MIUI ปัจจุบันมาถึงเวอร์ชั่น 6 พร้อมทำงานร่วมกับเซอร์วิสต่างๆ ของ Xiaomi เอง ทั้งแอพสโตร์ของตัวเอง (MIUI Market, MIUI Games ไม่จำเป็นต้องใช้แอพจาก Play Store อย่างเดียว), MiCloud (บริการคลาวด์สตอเรจความจุ 5GB ซิงค์กับอุปกรณ์ต่างๆ), MiLife (บริการรวมกลุ่มกันซื้อหรือ group buying เพื่อได้สินค้าและบริการราคาถูก) ฯลฯ ต้องบอกก่อนว่าบริการ Xiaomi ส่วนใหญ่ยังเป็นภาษาจีนล้วน และคงจะค่อยๆ ปรับตัวเพื่อขยายตลาดมายังต่างประเทศต่อไปที่น่าสนใจคือตอนนี้มีผู้ใช้ MIUI เกิน 100 ล้านรายเรียบร้อยแล้ว ทั้งยังมีคอมมูนิตี้ของผู้ใช้อย่างแข็งแกร่งในฟอรั่ม ที่ผู้คนเข้าไปสอบถาม แบ่งปันข้อมูลได้อย่างเสรีบุกตลาดด้วยแนวคิด "เทคโนโลยีระดับเรือธง ที่ไม่จำเป็นต้องราคาแพง"ปี 2011 Xiaomi เริ่มขยายตัวเองจากการทำรอม มาเป็นการผลิตฮาร์ดแวร์ของตัวเอง จากการเปิดตัวมือถือ Mi One ที่สร้างความฮือฮา เพราะเป็นสมาร์ทโฟนสเปกสูงในราคาย่อมเยา จนกวาดยอดขายได้กว่า 7 ล้านเครื่อง เกินเป้าที่ตั้งไว้เพียงหลักแสนเครื่องเท่านั้นในปีต่อมา ก็ปล่อย Mi 2 ก็พบกับยอดขายล็อตแรก 50,000 เครื่องในจีนหมดใน 3 นาที จวบปัจจุบัน สมาร์ทโฟนของ Xiaomi มาถึง Mi 4 พร้อมปล่อยรุ่นย่อย และรุ่นแฟ็บเล็ต Mi Note โดยยังคงแนวโน้มยอดขายถล่มทลายแบบเดิมในหลายประเทศจุดเด่นของสมาร์ทโฟน แท็บเล็ต (และฮาร์ดแวร์อื่นๆ) ของทาง Xiaomi จะอยู่ที่สเปกของฮาร์ดแวร์เมื่อเทียบกับราคาแล้วคุ้มค่ามาก อย่างเช่นสมาร์ทโฟน Mi 4 ตัวเรือธงตอนนี้ คุณจะได้สมาร์ทโฟนชิป Snapdragon 801 2.5GHz, 3GB RAM, สตอเรจ 16/64GB, จอ 5" 1080p ในราคาหมื่นบาทต้นๆ เท่านั้นหมายเหตุ: ถ้าไม่นับเครื่องหิ้ว ตอนนี้ (พ.ค. 2558) ผู้ใช้ในประเทศไทยจะได้เป็นเจ้าของ Mi 4 ในราคา 10,990 บาท โดยผู้นำเข้าสองราย คือโดยทรู และ STREK ซึ่งให้เปิดจองในงาน Thailand Mobile Expo 7-10 พฤษภาคม 2558 นี้เผยแผนการใหญ่: ไปให้ไกลกว่าสมาร์ทโฟนในด้านฮาร์ดแวร์ Xiaomi คิดไปไกลกว่าสมาร์ทโฟนหรือแท็บเล็ตมาก บริษัททยอยเปิดตัวสินค้าอิเล็กทรอนิกส์ อีกหลายตัว เช่นMi TV 2 เป็นสมาร์ททีวี 4K ขนาด 49 นิ้ว ราคา 3,999 หยวน (ประมาณ 21,000 บาท) พร้อมชิปประมวลผลและกราฟิกในตัว เพื่อใช้เล่นเกม เชื่อมต่อบริการคอนเทนต์บันเทิงต่างๆอุปกรณ์สุขภาพ Xiaomi ก็ขอเกาะขบวน wearable device ด้วย Mi Band เป็นอุปกรณ์วัดค่าสุขภาพแบบสวมใส่ติดตัว เพื่อตรวจสอบเป้าหมายการใช้ชีวิตในแต่ละวันในราคาไม่ถึงพันบาทอุปกรณ์อย่างหูฟัง, เครื่องชั่งน้ำหนัก, กล้องแอ๊กชั่นแคม (Yi), แบตเตอรี่สำรอง, เครื่องฟอกอากาศกระทั่งเราเตอร์, รางปลั๊กไฟ, รถยนต์ Xiaomi ก็ยังทำ โดยสินค้าแต่ละชิ้น (ที่เห็นภาพแล้ว) ก็เปี่ยมดีไซน์อยู่เนืองๆที่แหวกแนวหน่อย ก็มีบริการทางการเงิน ซื้อขายกองทุนผ่านแอพ Xiaomi Wallet กับอัตราผลตอบแทน 6.4% ต่อปีMi TV 2Mi Band อยู่ที่ข้อมือนางแบบ มีรีวิวแล้วกล้อง Yi เป็นแอ๊กชั่นคาเมร่าสไตล์ GoPro ในราคาย่อมเยา มีรีวิวแล้วXiaomi ถึงขั้นร่วมมือกับแบรนด์ Li-Ning เครื่องกีฬาจากจีน ทำรองเท้าวิ่งสำหรับออกกำลังกาย ซึ่งวัดค่าสุขภาพทำงานร่วมกับ Mi Band ด้วยไม่หยุดเพียงเท่านี้ Lei Jun เคยประกาศไว้ว่าจะสร้างอาณาจักรด้าน Internet of Things โดยพร้อมลงทุนในบริษัทสตาร์ตอัพไปแล้วกว่า 20 ราย และมีแผนจะลงทุนเพิ่มในอีกกว่า 100 บริษัทสู่บัลลังก์เรื่องยอดขายXiaomi พยายามวางตัวเองเป็นมวยรองในตลาดสมาร์ทโฟนโลก แต่ก็แอบแง้มว่าอยากเป็น global brand ด้วยกลยุทธ์ตั้งราคาให้ย่อมเยา (ถูกกว่าครึ่งของ iPhone) และลดราคาจำหน่ายได้ไม่ต่ำกว่า 10% จากการตัดมาร์จินหน้าร้านแบบเดิมๆ มาขายออนไลน์ล้วนในจีน, อินโดนีเซีย, ฮ่องกง, อินเดีย, มาเลเซีย, สิงคโปร์ และไต้หวัน (ไหนล่ะไทย? รอก่อน)Hugo Barra เคยกล่าวไว้ในงาน MWC2015 ว่าวิธีรุกตลาดยุโรปจะใช้แผนเดียวกับในสหรัฐ คือค่อยๆ ขายอุปกรณ์เสริมและสินค้าไลฟ์สไตล์ผ่านทางหน้าเว็บ Mi.com ก่อน ทว่าเรื่องสมาร์ทโฟนในสหรัฐหรือยุโรป ก็ขอรุกเจาะตลาดอินเดียให้ได้ก่อนในระยะนี้ด้านยอดขาย อ้างอิงตัวเลขจาก IDC เมื่อไตรมาสที่ 3 และ 4 ของปี 2014 Xiaomi มียอดขายสมาร์ทโฟนรวมกันทั้งโลกอยู่ในอันดับที่ 3 เป็นรองแค่ Apple และ Samsung เท่านั้น และเมื่อโฟกัสมาที่ตลาดจีน ยอดขายสมาร์ทโฟนในจีนก็เอาชนะ Samsung ในบ้านเกิดของตนได้แล้ว (ไม่แน่ใจว่าทิศทางยอดขายในอีกครึ่งปีที่เหลือนี้จะเป็นอย่างไร ก็ต้องลองติดตามดู)แรงเสียดทานจากรอบทิศแต่ความสำเร็จของ Xiaomi ก็ใช่ว่าจะไร้อุปสรรคซะทีเดียว เพราะการผงาดขึ้นมาในระดับโลก ย่อมต้องเจอกับแรงเสียดทานจากรอบทิศการดีไซน์ Xiaomi เดินตามรอยของแอปเปิล และมักถูกเรียกว่าเป็น "Apple of China" อยู่เนืองๆ จนถึงขั้นที่ว่าท่านเซอร์ Jonathan Ive แห่ง Apple เคยเอ่ยถึงว่าแบรนด์จีนรายนี้เป็นโจร ก๊อปดีไซน์เขามา ทว่าจากเหตุการณ์นั้นทาง Xiaomi ก็เลือกโต้กลับด้วยการเสนอให้ท่านเซอร์ฯ มาลองใช้ของแบรนด์ตนดู พร้อมระบุว่า "design language" ของ iPhone 6 ก็ไม่ใช่เรื่องใหม่ ดังนั้นก็อย่ามาเคลมว่าดีไซน์ตัวเองคือต้นแบบเลย หรืออย่างที่มีคนกังขาว่าทำไมการเปิดตัวสินค้าของ Xiaomi ถึงคล้ายกับ Apple ซึ่ง Hugo Barra เคยกล่าวไว้ว่าบริษัททั่วโลกก็ใช้วิธีการนำเสนอแบบนี้ในแผ่นดินกว้างใหญ่อย่างเมืองจีนเอง ก็ใช่ว่ามังกรจะมีตัวเดียว ล่าสุดบน Weibo (สื่อสังคมออนไลน์คล้ายทวิตเตอร์ในจีน) เพิ่งมีดราม่าระหว่าง Xiaomi และ LeTV แบรนด์สมาร์ทโฟนร่วมชาติ ที่ต่างคนก็เคลมว่าเครื่องของตนขอบจอบางสุด จากรายงานนี้พยายามจะชี้ว่า ยังมีคู่แข่งร่วมชาติที่ต้องแข่งขันกันแบบรู้กัน แต่เป้าหมายเดียวกันก็คือต่างคนก็ต่างจะงัดกับ Apple ให้ได้เช่นกันตัวเลขน่าสนใจของ Xiaomiจากข้อมูลในเว็บไซต์ Whogotfunded ระบุว่าการระดมทุนขุนสตาร์ตอัพเนื้อหอมแดนมังกรรายนี้มีการเปิดเผยตัวเลขแค่ 2 ครั้งจาก 4 ครั้ง โดยครั้งล่าสุดเมื่อ 27 เมษายน 2015 ก็ได้รับเงินลงทุนอีกก้อนแต่ไม่ระบุตัวเลข จาก Ratan Tata นักลงทุนชาวอินเดีย (เครือเดียวกับรถยนต์ TATA) ทำให้มูลค่าของ Xiaomi ตอนนี้อยู่ที่ 45 พันล้านเหรียญสหรัฐฯขณะที่ Lei Jun ในวัย 45 ปีก็เพิ่งได้รับตำแหน่ง Businessman of the Year ประจำปี 2014 โดยนิตยสาร FORBES ASIA นับเป็นบุคคลที่ร่ำรวยที่สุดในจีนลำดับที่ 8 ณ มูลค่าทรัพย์สินรวม 9.9 พันล้านดอลลาร์สหรัฐฯบทสรุปความสำเร็จของ Xiaomiต้องมีสูตรลับ วิธีคิด ดวง กึ๋น อะไรบางอย่างนอกเหนือจากการได้บุคลากรที่ดี เม็ดเงินที่ได้รับและลงทุนต่อ ทำให้ Xiaomi รุ่งโรจน์ในดินแดนตะวันออกในระยะเวลาไม่กี่ปี (5 ปี ถ้าเลี้ยงลูกก็ยังไม่เข้าโรงเรียนเลย) ซึ่งประวัติศาสตร์อาจต่างไปจากตำนานร่วมชาติอย่าง Alibaba ของ Jack Ma ตั้งแต่จุดเริ่มต้นทั้งโครงสร้าง ผลิตภัณฑ์ และการทำงานจุดเด่นหนึ่งที่น่าสนใจของ Xiaomi คือการใช้โมเดลธุรกิจแบบไม่ได้ถือครองเทคโนโลยีหรือสิทธิบัตรใดๆ เป็นของตัวเอง แต่เป็นการอาศัยเรี่ยวแรงของพาร์ทเนอร์ได้ทำสิ่งที่แต่ละเจ้าถนัด เช่นใช้พาเนลจอของคนนั้น ชิปประมวลผลของแบรนด์นี้ ซึ่งทำให้ได้ผลิตภัณฑ์ที่ดีในราคาย่อมเยา และปรับตัวได้ไวกว่าหากเทรนด์เปลี่ยนไป และอีกอย่างคือความใกล้ชิดกับผู้ใช้ ทำให้รับฟีดแบ็กมาปรับปรุงในรุ่นต่อไปได้อย่างว่องไว แต่เมื่อฐานแฟนใหญ่ขึ้น ความทั่วถึงอาจไม่เหมือนก่อน ก็ต้องมาดูกันที่มาและแหล่งอ้างอิง

a

เรือธง

Mi mix 3

Mi 8

Mi 8 pro

จุดเด่น

ราคาถูก

สเปกแรง

Huawei

Huawei

ประวัติ

r

ARTICLEจุดเริ่มต้น Huawei จากชุมสายโทรศัพท์ สู่ผู้ผลิตอุปกรณ์สื่อสารเบอร์ 1โดยZNeze16 August 2018 10:30 amจุดเริ่มต้น Huawei เริ่มต้นจากชุมสายโทรศัพท์ กลายเป็นแบรนด์มือถือชั้นนำของโลก มาลองดูที่มาที่ไปกันหน่อย ว่าแรกเริ่มเดิมทีนั้น มีที่มาที่ไปยังไงบ้างFacebook58TwitterGoogle PlusLineจุดเริ่มต้น Huawei น่าจะเป็นสิ่งที่ใครหลายคนอยากรู้ เพราะนาทีนี้คงแทบจะไม่มีใครไม่รู้จักชื่อนี้กันแล้ว และทุกวันนี้ได้กลายเป็นแบรนด์มือถือชั้นนำของโลกอีกหนึ่งแบรนด์เป็นที่เรียบร้อย หลังจากที่ใช้ความพยายามในการพิสูจน์ตัวเองมาหลายปี จวบจนมือถือตัวเรือธงล่าสุด ที่ทำให้ทั่วโลกต้องฮือฮา กับ P20 ที่มีเทคโนโลยีล้ำหน้าเหนือคู่แข่งเจ้าตลาด มาลองดูที่มาที่ไปกันหน่อย ว่าแรกเริ่มเดิมทีนั้น มีที่มาที่ไปยังไงบ้างจุดเริ่มต้น HUAWEI จากบริษัทเล็กๆ กลายมาเป็นบริษัทอันดับ 1 ด้านการสื่อสารHuawei Technologies Co. Ltd. ปัจจุบันกลายเป็นบริษัทข้ามชาติเป็นที่เรียบร้อย ไม่ได้มีสำนักงานแค่ในประเทศจีนเท่านั้น แต่ยังรวมถึงประเทศต่างๆ หลายแห่งทั่วโลกด้วย แต่สำนักงานใหญ่แรกเริ่มนั้น ตั้งอยู่ที่เมืองเซิ่นเจิ้น จังหวัดกว่างตง ประเทศจีน เป็นฐานที่มั่นหลัก จนตอนนี้พัฒนากลายมาเป็นบริษัทผลิตอุปกรณ์สื่อสารที่ใหญ่ที่สุดในโลกเป็นที่เรียบร้อยเหริน เจิ้งเฟย ผู้ก่อตั้ง Huaweiบริษัทก่อตั้งขึ้นในปี 1987 โดย เหริน เจิ้งเฟย อดีตนายทหารเก่าของจีน โดยเริ่มต้นจากการขายอุปกรณ์อย่างชุมสายโทรศัพท์ของบริษัทอื่น สำหรับใช้ตามจุดสาขาต่างๆ ใช้เวลาเพียงไม่กี่ปี ก็สามารถมีศูนย์วิจัยและพัฒนาผลิตภัณฑ์ (R&D) ของตัวเองขึ้นมา จนสามารถพัฒนาเครื่องของตัวเองในชื่อรุ่น C&C08 ขึ้นมาได้สำเร็จหลังจากนั้นในปี 1997 ก็ได้เริ่มมีงานต่างประเทศชิ้นแรกเข้ามา เป็นการวางระบบสายโทรศัพท์ให้กับบริษัทแห่งหนึ่งในฮ่องกง ที่แน่นอนว่ามีขนาดใหญ่พอสมควร ต่อมาในปี 1999 ก็ได้ขยายศูนย์ R&D ออกไปยังบังกาลอร์ ประเทศอินเดียเพิ่มอีกแห่ง และยังมีการเซ็นสัญญาทำงานร่วมกับ IBM เป็นระยะเวลา 5 ปีจนถึงปี 2003 อีกด้วยในปี 2009 ยังคงมุ่งมั่นขยายต่อเนื่องจนกลายเป็นผู้จัดหาอุปกรณ์ระบบเครือข่าย LTE/EPC ให้กับ Telia Sonera ผู้ให้บริการเครือข่ายโทรศัพท์เจ้าใหญ่ในนอร์เวย์ปี 2013 บริษัทเปิดออฟฟิศสาขาใหม่เพิ่มในแคนาดา หลังจากนั้นก็เริ่มมีบริษัทพันธิมิตรเพิ่มมากขึ้นเรื่อยๆ รวมไปถึงบริษัทร่วมทุนอย่าง 3Com-Huawei และยังคงมุ่งมั่นพัฒนาอุปกรณ์เครือข่ายอย่างต่อเนื่องจนในที่สุดก็กลายมาเป็นบริษัทขนาดใหญ่ ในปี 2010 รายชื่อของบริษัทด้านการสื่อสาร 50 อันดับต้นต่างทำงานร่วมกันกับ Huawei ทั้งสิ้น และรายชื่อเจ้าใหญ่ๆที่เราน่าจะเคยได้ยิน ก็มีทั้ง Motorola, Vodafone, Talk Talk, T-mobile, Clear wire, Bell Canada และอีกเพียบสำนักงานใหญ่ Huawei ที่ เซิ่นเจิ้นปัจจุบันมีพนักงานจำนวนกว่า 140,000 คน กว่า 46 เปอร์เซ็นต์ของทั้งหมด หรือเกือบครึ่ง ทำงานอยู่ในฝ่ายวิจัยและพัฒนา ซึ่งแผนก R&D ของ Hauwei นี้มีขนาดใหญ่มาก และยังกระจายอยู่ทั่วภูมิภาคสำคัญของโลก ไม่ว่าจะเป็น สหราชอาณาจักร, ปากีสถาน, แคนาดา, ตุรกี, ไอร์แลนด์, สวีเดน, รัซเสีย และอีกมากมายหลายแห่ง ซึ่งคอยวิจัยและพัฒนาทั้งผลิตภัณฑ์และบริการต่างๆ ป้อนสู่กว่า 140 ประเทศทั่วโลก ที่แน่นอนว่ารวมในบ้านเราไปด้วยธุรกิจหลักของ Huawei แบ่งออกเป็น 3 กลุ่ม คือด้านผู้ให้บริการเครือข่ายสื่อสาร, ธุรกิจกลุ่มองค์กรขนาดใหญ่ และการผลิตอุปกรณ์สื่อสาร

a

เรือธง

Huawei P 20 Pro

Huawei Mate 20 Pro

จุดเด่น

กล้องหลังเทพ

มีลูกเล่นเกี่ยวกลับกล้องถ่ายภาพเยอะ

Iphone

Iphone

ประวัติ

r

ประวัติไอโฟน(iPhone)ประวัติไอโฟน(iPhone), ประวัติไอโฟน(iPhone) หมายถึง, ประวัติไอโฟน(iPhone) คือ, ประวัติไอโฟน(iPhone) ความหมาย, ประวัติไอโฟน(iPhone) คืออะไร26 พ.ย. 56 05.25 น. | เปิดอ่าน 6,839 | ความคิดเห็น 1   ไอโฟน (อังกฤษ: iPhone) เป็นโทรศัพท์มือถือที่มีความสามารถใช้งานอินเทอร์เน็ตและมัลติมีเดีย ผลิตและจำหน่ายโดยบริษัทแอปเปิล โดยการทำงานของไอโฟนสามารถใช้งานส่งอีเมล ใช้เป็นโทรศัพท์เคลื่อนที่ ส่งเอสเอ็มเอส ท่องอินเทอร์เน็ตผ่านทางซอฟต์แวร์ซาฟารี ค้นหาแผนที่ ฟังเพลง และความสามารถอื่น โดยมีอุปกรณ์หลักประกอบด้วย Wi-Fi (802.11b/g) บลูทูธ 2.0 และกล้องถ่ายภาพ 2.0-megapixel ไอโฟนรุ่นแรกมีลักษณะ 2.5G quad band GSM และ EDGE และรุ่นที่สองใช้ UMTS และ HSDPA   แอปเปิลได้เปิดเผยไอโฟนรุ่นแรกโดย สตีฟ จอบส์ ในงานแม็คเวิลด์ วันที่ 9 มกราคม พ.ศ. 2550 และวางจำหน่ายครั้งแรกในสหรัฐอเมริกาวันที่ 29 มิถุนายน พ.ศ. 2550 ไอโฟนได้ชื่อว่าเป็นสิ่งประดิษฐ์ยอดเยี่ยมประจำปีจากนิตยสารไทม์ ประจำปี 2550 โดยมีรุ่นถัดมาคือ ไอโฟน 3G และ ไอโฟน 3GS และไอโฟน 4 ได้เปิดตัวในวันที่ 7 มิถุนายน พ.ศ. 2553 ไอโฟนรุ่นใหม่ล่าสุดในปัจจุบันคือ iPhone 4S ซึ่งมีเป็นรุ่นที่สมบูรณ์ที่สุดในขณะนี้    การทำงานของไอโฟน   การทำงานของโทรศัพท์ไอโฟนนี้จะแตกต่างจากโทรศัพท์มือถืออื่น โดยไอโฟนจะไม่มีปุ่มสำหรับกดหมายเลขโทรศัพท์ โดยการทำงานทั้งหมดจะทำงานผ่านหน้าจอโดยการสัมผัสมัลติทัชผ่านคำสั่งต่างๆ โดยมีระบบปฏิบัติการหลัก iOS และมีระบบเซ็นเซอร์ในการรับรู้สภาพของเครื่องเพื่อกำหนดการแสดงผลของจอภาพ เช่นหากวางเครื่องในแนวตั้งระบบก็จะปรับให้แสดงผลในแนวตั้ง หากวางในแนวนอนระบบก็จะแสดงผลในแนวนอน    รุ่น   - ไอโฟน 2จี (iPhone 2G)  - ไอโฟน 3จี (iPhone 3G)  - ไอโฟน 3จีเอส (iPhone 3GS)  - ไอโฟน 4 (iPhone 4)  - ไอโฟน 4เอส (iPhone 4S)  - ไอโฟน 5 (iPhone 5)จะเปิดตัวประมาณวันที่ 12 กันยายน   การวางจำหน่าย    ไอโฟนเริ่มมีวางจำหน่ายครั้งแรกเฉพาะในสหรัฐอเมริกา ในวันที่ 29 มิถุนายน พ.ศ. 2550 โดยร่วมมือกับเครือข่ายเอทีแอนด์ทีไวร์เลสส์ (ในขณะนั้นในชื่อ ซิงกิวลาร์ไวร์เลสส์) โดยก่อนวันจำหน่ายร้านแอปเปิลได้ปิดร้านในช่วง 14 นาฬิกาเพื่อเตรียมตัวขายไอโฟนในเวลา 18 นาฬิกาตามเวลาท้องถิ่น ซึ่งมีผู้ใช้รอคิวเข้าซื้อเป็นจำนวนมาก โดยทางแอปเปิลขายไอโฟนได้ 270,000 เครื่อง ในช่วง 30 ชั่วโมงแรกที่เปิดจำหน่าย โดยในปัจจุบันไอโฟนรุ่นแรกมีวางจำหน่ายในหกประเทศได้แก่ ไอร์แลนด์ สหราชอาณาจักร ฝรั่งเศส เยอรมนี ออสเตรีย และสหรัฐอเมริกา    โดยในวันที่ 11 กรกฎาคม พ.ศ. 2551 ไอโฟนรุ่นใหม่ หรือที่รู้จักในชื่อ ไอโฟน 3G จะมีการวางจำหน่ายใน 22 ประเทศ ซึ่งรวมถึง 6 ประเทศที่มีวางจำหน่ายแล้ว และหลังจากนั้นจะมีวางจำหน่ายเพิ่มขึ้นอีกใน 48 ประเทศทั่วโลก รวมเป็นทั้งหมด 70 ประเทศ โดยในอาเชียนจะมีประเทศสิงคโปร์ และฟิลิปปินส์ที่มีการจำหน่ายไอโฟนอย่างเป็นทางการ โดยในสหรัฐอเมริกานั้น ผู้ซื้อไอโฟนรุ่นใหม่จำเป็นต้องจดสัญญากับเอทีแอนด์ทีเป็นระยะเวลาสองปี    ประเทศไทยเริ่มมีการวางจำหน่ายไอโฟน 3G ในวันที่ 16 มกราคม พ.ศ. 2552 โดยทรูมูฟ เป็นผู้ถือลิขสิทธิ์การจำหน่ายเป็นรายแรกในประเทศไทย และมีงานเปิดตัวระหว่างวันที่ 16-18 มกราคม พ.ศ. 2552 ณ รอยัลพารากอนฮอลล์ สยามพารากอน และดีแทคเป็นรายที่สองที่ได้สิทธิ์การจัดจำหน่าย โดยมีการเปิดตัวพร้อมจำหน่ายเครื่องวันแรก เมื่อวันที่ 13 มีนาคม พ.ศ. 2553 ณ ลานพาร์กพารากอน สยามพารากอนและในวันที่ 23 กันยายน พ.ศ. 2553 เวลา 0.00 น. ไอโฟน 4 ได้เปิดตัวในประเทศไทย โดยทรูมูฟ, ดีแทค และ AIS เป็นผู้ถือลิขสิทธิ์การจำหน่ายในประเทศไทย ********************   ไอโฟน 3จี (iPhone 3G)   ไอโฟน 3จี (iPhone 3G) คือสมาร์ตโฟนระบบจอสัมผัสที่พัฒนาโดย บริษัทแอปเปิล ซึ่งเป็นรุ่นที่สองของ ไอโฟน ต่อมาจากรุ่น ไอโฟน รุ่นแรกถูกประกาศอย่างเป็นทางการเมื่อวันที่ 9 มิถุนายน พ.ศ. 2551 ในงาน WWDDC 2008 ที่ Moscone Center ในเมืองSan Francisco มี 3G ที่คล้ายกันมากกับรุ่นก่อนที่มีเหมือนกันกล้อง 2 MP และการสนับสนุนสำหรับ บันทึกวิดีโอ ไม่มีและประสิทธิภาพการทำงานของมันถูก จำกัด โดยเดียวกันขนาด 128 เมกะไบต์ eDRAM หน่วยความจำแต่ 3G ที่โดดเด่นการปรับปรุงหลายต้นฉบับ ที่สนับสนุน GPS แบบช่วยเหลือ, ข้อมูล 3G และ Tri - band UMTS/HSDPA    การทำงานของ iPhone 3G มีระบบปฏิบัติการของ Apple IOS ของระบบปฏิบัติการเดียวกับที่ใช้เมื่อก่อนหน้า iPhones , iPad, Apple TV, และ iPod Touch จะมีการควบคุมเป็นหลักโดยปลายนิ้วของผู้ใช้ในที่ สัมผัสหลาย แสดงซึ่งมีความไวในการติดต่อกับปลายนิ้ว iPhone 3G ไม่ได้รับการปรับปรุงซอฟต์แวร์จาก Apple ในวันที่ 11 มีนาคม 2011 ซึ่งเป็นวัน iOS 4.3 ถูกเปิดตัวออกมา แต่ก็ไม่มีการสนับสนุน     ประวัติ    ในวันที่ 11 กรกฎาคม ค.ศ. 2008 Apple ได้เปิดตัว iPhone 3G ใน 22 ประเทศ รวมทั้งเดิมหก ในรุ่น 8GB และ 16GB, กับรุ่นความจุที่มีขนาดใหญ่ที่มีตัวเลือกของการอยู่ในสีดำหรือสีขาว   เมื่อ iPhone 3GS ถูกปล่อยออกมาได้ 1 ปีภายหลังราคาของ iPhone 3G ถูกตัดในช่วงครึ่งปีและได้ทำรูปแบบการงบประมาณของ iPhone โดยราคาของ iPhone 3G อยู่ในราคา $ 99 อยู่ในสีดำเท่านั้น และมาพร้อมกับ 8GB ของการจัดเก็บ พร้อมกับการแก้ไขนี้เป็น iPhone OS 3.0 ในวันที่ 7 มิถุนายน 2010 iPhone 3G ถูกยกเลิกและแทนที่ด้วย 8 GB iPhone 3GS ขายในราคาเดียวกันด้วยราคา $ 99     ซอฟต์แวร์    iPhone 3G ได้เข้ามาโหลดไว้กับรุ่นล่าสุดของ iPhone OS ทั้ง 2 เพื่อให้มีการปรับปรุงใหม่ล่าสุดในซอฟต์แวร์และการที่จะต่อสู้กับความพยายามของการ jailbreaking กว่าปีที่ iPhone 3G ของได้รับการสนับสนุนโดย Apple ที่มีการปรับปรุงซอฟต์แวร์ ซ้ำที่สำคัญของซอฟต์แวร์ที่มักจะเปิดตัวออกมาทุกปี    เมื่อเปิดตัวในเดือนกรกฎาคมปี 2008 ของ iPhone 3G มาพร้อมโหลดไว้กับ iPhone OS 2.0 ซึ่งเปิดตัวใน App Store สนับสนุนโดย Microsoft Exchange ActiveSync, บริการ MobileMe ของ Apple และผลักดันการสนับสนุนทางอีเมลพร้อมด้วยคุณสมบัติใหม่อื่น ๆ และแก้ไขข้อผิดพลาดเช่นกัน    ในเดือนมิถุนายน 2009 iPhone 3G ของ iPhone ได้รับการปรับปรุงซอฟแวร์ระบบปฏิบัติการ 3.0 ที่นำรอคอยมานานคุณลักษณะ MMS คัดลอกและวางสนับสนุนภูมิสำหรับใช้งานมากขึ้นการสนับสนุนสเตอริโอ Bluetooth, และการปรับปรุงอื่น ๆ เช่นกัน ในเดือนมิถุนายน 2010 เจ้าของ iPhone 3G ถูกออก iOS 4.0 การปรับปรุงซอฟต์แวร์ ซึ่งแตกต่างจากผู้สืบทอดของ iPhone 3GS ที่จะไม่ได้รับ multitasking ภาพพื้นหลังหน้าจอที่บ้านหรือการสนับสนุนแป้นพิมพ์ Bluetooth แต่ก็ยังคงมีคุณสมบัติแบบครบวงจรของกล่องจดหมาย, โฟลเดอร์, รายการเพลงที่สร้างระหว่างการปรับปรุงอื่น ๆ ใน Ios 4 แต่ยังคงแม้จะมีจำนวนของคุณสมบัติใหม่ที่นำมาปรับปรุงนั้นจะถูกวิพากษ์วิจารณ์อย่างกว้างขวางสำหรับการทำงานที่ช้าในบนอุปกรณ์    แต่อย่างไรก็ตามการปรับปรุงเพื่อพัฒนาไปยัง iOS 4.1 ได้เปิดตัวและเปิดตัวเมื่อเดือนกันยายน 2010 ซึ่งการปรับปรุงประสิทธิภาพของอุปกรณ์ที่อยู่ภายใต้ iOS 4 แต่แตกต่างจากอุปกรณ์อื่น ๆ iOS แม้ว่าจะไม่ได้รับการประยุกต์ใช้ศูนย์เกมส์    ในวันที่ 22 พฤศจิกายน ค.ศ. 2010 iPhone 3G ได้รับการปรับปรุงเป็น iOS 4.2 การปรับปรุงซอฟต์แวร์ซึ่งรวมถึงคุณสมบัติใหม่ เช่น YouTube การออกเสียงลงคะแนน และการแก้ไขการรักษาความปลอดภัย แต่อย่างไรก็ตาม iPhone 3G ไม่ได้รับคุณสมบัติมากมายรวมทั้ง AirPlay ตัวเลือกเพิ่มเติมในถาดแบบมัลติทาสก์และค้นหาข้อความซาฟารี    ในวันที่ 12 มกราคม ค.ศ. 2011 iOS 4.3 ได้รับการปรับปรุงซอฟต์แวร์เบต้า 1 ออกมาให้นักพัฒนา แต่ยังไม่มีการการเชื่อมโยงดาวน์โหลด iPhone 3G จะไม่สนับสนุนโดย Apple ในการปรับปรุงซอฟต์แวร์ ในวันที่ 9 มีนาคม ค.ศ. 2011 การปรับปรุงของ IOS ซอฟต์แวร์ 4.3 ได้ประกาศอย่างเป็นทางการซึ่งเป็นครั้งแรกที่มีการปรับปรุงซอฟต์แวร์ iOS ออกจากการสนับสนุนของ iPhone 3G *********************         ไอโฟน 3จีเอส (iPhone 3GS)      ไอโฟน 3จีเอส (iPhone 3GS) คือสมาร์ตโฟนระบบจอสัมผัสที่พัฒนาโดย บริษัทแอปเปิล ซึ่งเป็นรุ่นที่สามของ ไอโฟน ต่อมาจากรุ่น ไอโฟน 3G ถูกประกาศอย่างเป็นทางการเมื่อวันที่ 8 มิถุนายน พ.ศ. 2552 ในงาน WWDDC 2009 และขายครั้งแรกวันที่ 19 มิถุนายน พ.ศ. 2552 ในประเทศออสเตรเลียและญี่ปุ่นวางจำหน่ายในวันที่ 26 มิถุนายนและต่างประเทศในเดือนกรกฎาคมและสิงหาคม พ.ศ. 2552 ไอโฟน 3จีเอส ทำงานด้วยระบบปฏิบัติการของ Apple Ios เป็นถูกนำมาใช้ใน iPad และ iPod touch จะมีการควบคุมเป็นหลักโดยปลายนิ้วของผู้ใช้ในจอแสดงผลแบบมัลติทัช ไอโฟน 3จีเอส จะนำหน้าด้วย iPhone 3G และประสบความสำเร็จโดย iPhone 4 *********************    ไอโฟน 4  (iPhone 4)     ไอโฟน 4 (อังกฤษ: iPhone 4) คือสมาร์ตโฟนระบบจอสัมผัสที่พัฒนาโดย บริษัทแอปเปิล ซึ่งเป็นรุ่นที่สี่ของ ไอโฟน ต่อมาจากรุ่น ไอโฟน 3จีเอส ถูกออกแบบเฉพาะสำหรับการใช้งานด้านการโทรศัพท์โดยมีสัญญาณภาพ (ในชื่อ เฟซไทม์) การอ่านหนังสืออีบุค, การดูวิดิโอ, ฟังเพลง, เล่นเกม และอินเทอร์เน็ต ถูกประกาศอย่างเป็นทางการเมื่อวันที่ 7 มิถุนายน พ.ศ. 2553 ในงาน WWDDC 2010 และขายครั้งแรกวันที่ 24 มิถุนายน พ.ศ. 2553 ในอเมริกา,อังกฤษ และอีกในหลายประเทศ โดยในประเทศไทยนั้นมีการขายครั้งแรกอย่างเป็นทางการใน วันที่ 24 กันยายน พ.ศ. 2553 โดยสามบริษัทใหญ่เป็นผู้จำหน่ายคือ เอไอเอส ,ดีแทค และทรูมูฟ     ไอโฟน 4 ทำงานด้วยระบบปฏิบัติการไอโอเอส (iOS) ซึ่งเป็นระบบเดียวกับที่ใช้ในไอโฟนรุ่นก่อนหน้า รวมไปถึงไอแพดและไอพอดทัช    การทำงานหลักควบคุมโดยใช้ปลายนิ้วสัมผัสข้อแตกต่างระหว่างไอโฟน 4 และไอโฟนรุ่นก่อนหน้าได้แก่ การออกแบบโฉมใหม่ ที่มีการหุ้มขอบด้วยสเตนเลนสตีลไร้ฉนวนซึ่งทำหน้าที่เป็นเสาอากาศของเครื่อง ตัวเครื่องจะอยู่กึ่งกลางระว่างกระจกอลูมิโนซิลิเกตชนิดพิเศษที่เพิ่มความแข็งแรงวางไว้สองด้านหน้าหลัง ภายในเครื่องมีซีพียู แอปเปิล A4 พร้อม ram 512 MB ของ eDRAM ซึ่งมีความเร็วเป็นสองเท่าของรุ่นก่อนหน้า และเร็วเป็นสี่เท่าของไอโฟนรุ่นแรกสุด หน้าจอขอไอโฟน 4 มีขนาด 89 มม. (3.5 นิ้ว) โดยใช้แอลอีดีแบล็กลิตขนาด แสดงผลด้วยความละเอียด 960×640 พิกเซลซึ่งชื่อการค้าว่าว่า เรตินาดิสเพลย์ (Retina Display)   จุดเด่นที่น่าสนใจ คือ Facetime การสนทนาพร้อมส่งภาพจากกล้องด้านหน้า หรือด้านหลัง ไปให้คู่สนทนาได้ชมแบบสดๆ หรือเรียกว่าวีดีโอคอลล์ เพียงแต่ Facetime ไม่ต้องอาศัยเครือข่าย 3G แต่อาศัย Wi-Fi แทน วิธีการใช้งานก็ไม่ยุ่งยาก เพียงเชื่อมต่อกับเครือข่าย Wi-Fi ทิ้งไว้ จากนั้นทำการโทรออกไปหาผู้รับตามปกติ (ผู้รับสายจะต้องใช้ iPhone 4 มีเชื่อมต่อ Wi-Fi เช่นกัน) ระหว่างรอรับสายให้กดปุ่ม Speaker เพื่อสนทนาผ่านลำโพง และ เมื่อมีผู้รับสายให้กดปุ่ม Facetime เพื่อเปิดใช้งานกล้อง โดยผู้ใช้ สามารถสลับการใช้งานได้ทั้งกล้องด้านหน้าและด้านหลัง    ประโยชน์ของ Facetime นอกจากการสนทนาแบบเห็นหน้า นั่นคือการสื่อสารที่มากกว่าคำพูด เพราะผู้ใช้สามารถรับรูปถึงอารมณ์ของคู่สนทนามากกว่าฟังแต่เสียง อีกทั้งการแสดงภาพเคลื่อนไหวภาพยังทำได้ราบลื่น (ขึ้นอยู่กับความเร็วของสัญญาณ Wi-Fi ในเวลาใช้งาน) ที่สำคัญผู้ใช้ไม่ต้องจ่ายค่าบริการเพิ่ม (นอกจากค่าบริการอินเตอร์เน็ต Wi-Fi) ถ้าให้เทียบกับการสนทนารูปแบบวีดีโอคอลล์ผ่านเครือข่าย 3G ต้องยอมรับว่า Facetime เหนือกว่า ทั้งเรื่องสัญญาณ Wi-Fi ที่ครอบคลุมมากกว่า เครือข่าย 3G ค่าบริการที่ถูกกว่า และ ความเร็วในการแสดงผลระบบปฏิบัติการรุ่นล่าสุดคือ iOS 5.0(เริ่ม 12 ตุลาคม พ.ศ. 2554) *********************    ไอโฟน 4เอส (iPhone 4S)    ไอโฟน 4เอส (อังกฤษ: iPhone 4S) คือสมาร์ตโฟนระบบจอสัมผัสที่พัฒนาโดย บริษัทแอปเปิล ซึ่งเป็นรุ่นที่ห้าของ ไอโฟน ต่อมาจากรุ่น ไอโฟน 4 โดยเปิดตัวเมื่อวันที่ 4 ตุลาคม พ.ศ. 2554 ในงาน Let's talk iPhone ณ สำนักงานใหญ่แอปเปิล เมืองคูเปอร์ทิโน่ เป็นรุ่นที่พัฒนาต่อยอดมาจาก iPhone 4 ซึ่งภายนอกมีลักษณะไม่แตกต่างกันมากนัก โดยรุ่นนี้มีการแก้ไขปัญหาสัญญาณตกที่เกิดกับ ไอโฟน 4 ในส่วนของระบบประมวลผลได้เปลี่ยนไปใช้ชิพ Apple A5 แบบเดียวกับ ไอแพด 2 และมีการเพิ่มความจุในรุ่น 64GB เข้ามา ********************* 

a

เรือธง

IPhone Xs Max

IPhone xs

IPhone X (10)

จุดเด่น

ระบบปฎิบัติการมีความเสถียรมาก

ครอบคลุมทุกการใช้งาน