by parichat jariya 3 years ago
520
More like this
1. ทำความสะอาดบริเวณบาดแผลด้วย cotton bud ชุบนาเกลือล้างแผลแล้วเช็ดให้แห้งป้ายยา 1% kemicitine Ointment วันละ 4 ครั้ง 2. หลังดูดนมให้ดูดน้ำตามเพื่อเป็นการทำความสะอาดปากและลดการติดเชื้อแผลผ่าตัด (แพทย์บางคนอาจห้ามดูดนมหลังผ่าตัดโดยให้ใช้ช้อนหรือ droppler แทน 3. ระวังอย่าให้ผู้ป่วยเอาหน้าเพราะจะทําให้แผลผ่าตัดปริได้ถ้าเกิดแผลแยก / ปริให้รีบมาพบแพทย์เพื่อแก้ไขทันที 4. หลังจากไหมละลายแล้วประมาณ 2 สัปดาห์โดยทั่วไปจะเริ่มประมาณ 1 เดือนหลังผ่าตัด) ให้นวดเบา ๆ บริเวณแผลเป็นเพื่อป้องกันการนูนแข็งของแผลเป็น
1. ใส่เพดานเทียมเพื่อให้เด็กสามารถดูดดมได้ป้องการสำลักนมและแนะนำให้มารดาหรือผู้ดูแลถอดล้างทุกวัน 2. แนะนำให้เปลี่ยนเพดานเทียมทุก 1-3เดือน
3. DTWP-HB-Hib1 (26au), DTWP-HB-Hib2, (4lnou) ชนิด: คอตีบ-บาดทะยัก-ไอกรนชนิดทั้งเซลล์ การบริหาร: ฉีดเข้ากล้ามเนื้อบริเวณหน้าขา 0.5 ml. คำแนะนำ: ฉีดตั้งแต่อายุ 2 เดือนและไม่แนะนำในเด็กที่อายุมากกว่า 2 ปีไม่ควรให้ในเด็กที่มีอาการชักควบคุมไม่ได้เด็กที่มีชักจากไข้สูงควรให้ยาลดไข้และยากันชักหลังฉีดวัคซีนแล้ว 2-3 วันไม่ควรให้ในเด็กที่เคยได้รับวัคซีนนี้แล้วมีอาการดังนี้ไข้สูงเกิน 40.5 องศาเซลเซียสภายในเวลา 48 ชั่วโมงร้องไห้นานเกิน 3 ชั่วโมงหรือร้องกรีดเสียงแหลมภายใน 48 ชั่วโมงหลังฉีดมีอาการของ encephalopathy ภายใน 7 วัน ได้แก่ มีอาการซึมลงชักโดยมีไข้หรือไม่มีไข้ภายใน 3 วันหลังได้รับวัคซีนไม่ควรให้วัคซีนมากกว่า 6 ครั้งในเด็กที่อายุน้อยกว่า 7 ปี
2.HB1 (แรกเกิด), HB2 (1 เดือน), ชนิด: ตับอักเสบบี การบริหาร: ได้อย่างน้อย 3 ครั้งและเข็มสุดท้ายต้องอายุมากกว่าหรือเท่ากับ 6 เดือน คำแนะนำ: บริเวณที่ฉีดมีอาการปวดบวมมีไข้ต่ำ ๆ อาการมักเริ่ม 3-4 ชั่วโมงหลังฉีดเป็นอยู่ไม่เกิน 24 ชั่วโมงปฏิกิริยาที่อาจเกิดขึ้นและรุนแรงที่อาจเกิดขึ้นคือ Anaphylaxis (0-1 ชม.) Guillain-Barre syndrome 1-6 สัปดาห์)
1. แรกเกิด: BCG ชนิด: BCG การบริหาร: ฉีด 0.1 มล. ในชั้นใต้ผิวหนังที่ไหล่ซ้าย คำแนะนำ: ประมาณ 2-3 สัปดาห์จะมีตุ่มแดงๆขึ้นหลังจาก 3-4 สัปดาห์จะหายเป็นแผลเป็นควรเฝ้าระวังผิวหนังที่ฉีดให้แห้งใช้สำลีชุบน้ำต้มสุกเช็ดปฏิกิริยาที่เกิดขึ้นรุนแรงต่อมน้ำเหลืองอักเสบเป็นหนอง (2-6 เดือน) กระดูกอักเสบ (BCG osteitis) แพร่กระจาย (1-12 เดือน)
4. บันทึกปริมาณน้ำที่ร่างกายได้รับและปริมาณน้ำที่ออกจากร่างกายทั้งทางอุจจาระและปัสสาวะ
3. บันทึกสัญญาณชีพประเมินภาวะขาดน้ำและอาการผิดปกติอื่น ๆ หากพบอาการผิดปกติให้รายงานแพทย์
2. ดูแลให้ผู้ป่วยได้รับสารน้ำทางหลอดเลือดดำตามแผนการรักษาคือ 5% DN / 5 500 ml IV 10 ml / hr. ในกรณีที่ต้องเตรียมส่งไปห้องผ่าตัด
1. ดูแลให้นมทารกอย่างถูกวิธีทารกบางรายสามารถดูดนมแม่ได้ให้ดูดนมแม่การให้นม
1.3 หลังให้นมทำความสะอาดปากโดยใช้ผ้าชุบน้ำต้มสุกเช็ดคราบนมในปากและจับเด็กนอนศีรษะสูงหรือตะแคงขวา
1.2 ให้นมเด็กทีละน้อยและช้า ๆ ใช้เวลาประมาณ 20-30 นาทีและระหว่างนั้นจับเด็กเรือเฟือไล่ลมเพราะเด็กมักดูดลมเข้าท้องทำหลังให้นมทุก 15-30 ซีซี
1.1 ให้เด็กดูดนมแม่เร็วที่สุดโดยให้เด็กนอนในท่าศีรษะสูง 45 องศากึ่งนั่งกึ่งนอน Upright หรือ semisitting) เพื่อให้น้ำนมแม่ไหลและอาจบีบนมแม่ใส่ขวดให้เด็กดูดโดยเลือกจุกนมที่นิ่มและรูหัวนมโตหรือตัดรูหัวนมให้ใหญ่กว่าปกติหรือขวดนมที่มีลักษณะพิเศษเช่น Haberman feeder
1. ได้รับสารน้ำสารอาหารเพียงพอ 2. ไม่เกิดการสำลักนม 3. น้ำหนักตรงตามเกณฑ์
ได้รับสารน้ำสารอาหารเพียงพอ
1. NPO 2. สำลักนมบ่อยครั้ง 3. DX : Down syndrome with cleft lip &palate
4. เตรียมร่างกายเด็กก่อนเข้ารับการผ่าตัดโดยงดน้ำและนมหรืออาหารก่อนผ่าตัด 6 ชั่วโมงส่งผลเลือดตรวจ (CBC) และเตรียมขอเลือดหรือให้สารน้ำทางเส้นเลือดดำตามแผนการรักษาของแพทย์พร้อมทั้งวัดสัญญานชีพเด็กก่อนส่งเด็กเข้าห้องผ่าตัด
3. เมื่อแพทย์นัดวันผ่าตัดเตรียมสภาพจิตใจของเด็กตามวัยและพัฒนาการโดยอธิบายเด็กด้วยคำพูดง่ายและใช้การเล่นเป็นสื่อให้เด็กได้สัมผัสและจับต้องของเล่นนั้นเพื่อเป็นการลดความกลัวของเด็ก
2. ให้ความรู้เกี่ยวกับการผ่าตัดเพดานโหว่เพื่อให้มีการพูดได้ชัดเจนใกล้เคียงปกติที่สุด
1. อธิบายให้บิดามารดาทราบถึงความจําเป็นในการช่วยเหลือเด็กโดยการผ่าตัดพร้อมทั้งแสดงรูปภาพประกอบทั้งภาพก่อนผ่าตัดและหลังผ่าตัดโดยใช้คำพูดง่าย ๆ และอายุที่เหมาะสมที่แพทย์จะทำผ่าตัดการ
ไม่มีความกังวล มีความรู้เกี่ยวกับการเตรียมตัวก่อนผ่าตัด
มีความรู้และพร้อมเมื่อเข้ารับการรักษาโดยการผ่าตัด
มีแผนการรักษาคือผ่าตัด Repair of cleft palates เมื่อครบอายุหนึ่งปี
9. ประเมินสัญญาณชีพอัตราการหายใจทุก 15-30 นาทีใน 2-3 ชั่วโมงหลังผ่าตัดเพื่อสังเกตุอาการเปลี่ยนแปลง
8. จัดท่านอนตะแคงเพื่อระบายเสมหะเลือดน้ำลายและเปลี่ยนท่าทุก 2 ชั่วโมง
Subtopic
7. สังเกตและบันทึกการหายใจอย่างใกล้ชิดหลังผ่าตัดเนื่องจากผู้ป่วยมีเสมหะมากแผลปากทำให้หายใจลำบากและภาวะ cyanosis
6. หากสำลักให้ดูดออกอย่างถูกวิธีโดยดูดในปากก่อนแล้วจึงดูดในจมูกไม่ควรดูดนานเกิน 5 วินาที / ครั้ง
5. แนะนำการให้นมหลังผ่าตัดอย่างถูกวิธีเพื่อป้องกันการสำลัก
4. ดูแลให้ได้รับ O2 cannula 3 LPM เพื่อป้องกันให้ผู้ป่วยได้รับออกซิเจนอย่างเพียงพอ
3. ดูแลให้ได้รับา 2G syrup 1.5 ml oral tid pc ตามแผนการรักษาเพื่อละลายและขับเสมหะ
2. ดูแลให้ได้รับ Paracetamol syrup 1/2 tsp. oral prn. q. 4-6 hr. เพื่อลดไข้
1. ดูแลให้ได้รับยา antibiotic คือ Ceftriaxone 250 mg IV q 12 hr เพื่อฆ่าเชื้อแบคทีเรียและประเมินอาการข้างเคียงหลังจากให้ยาคือผื่นผิวหนังฟกช้ำเลือดออกผิดปกติท้องร่วง
1. O2sat =90-95% 2. RR 40-60bpm 3. PR 140-160 bpm 4. ทางเดินหายใจโล่งไม่มีเสมหะ 5. ผลการตรวจทางห้องปฏิบัติการอยู่ในเกณฑ์ปกติ
ไม่มีภาวะ Pneumonia
มีไข้ BT 38.3 องศาเซลเซียส. สำลักนมบ่อย หายใจเหนื่อย มีเสมหะปนนม 2 วัน ก่อนมาโรงพยาบาล
9. ประเมินสัญญาณชีพอุณหภูมิร่างกายเพื่อประเมินอาการที่เปลี่ยนแปลง
8. ตรวจดูแผลสังเกตอาการบวมแดงมีเลือดออกหายมีอาการผิดปกติให้รายงายแพทย์
7. ป้อนนมโดยใช้ช้อนหรือ Syringe และห้ามดูดนมขวดและนมมารดาประมาณ 3-4 สัปดาห์หลังผ่าตัดหลังจากป้อนนมเสร็จควรใช้น้ำล้างปากเด็กด้วย
6. อุ่มสัมผัสกอดตอบสนองต่อความต้องการของเด็กและไม่ปล่อยให้ร้องไห้เพราะจะทำให้แผลแยกได้
5. จัดให้เล่นเพื่อเบี่ยงเบนความสนใจของเด็ก
4. ป้องกันไม่ให้เด็กดึงแกะเกาบริเวณแผลผ่าตัดโดย Restraint อย่างเหมาะสมตัดเล็บให้สั้นและให้ครอบครัวมีส่วนร่วม
3. ไม่ให้ทารกนอนคว่ำหลังผ่าตัดเนื่องจากจะทำให้แผลเสียงสีกับที่นอน
2. ทำความสะอาดในช่องปากและบริเวณแผลผ่าตัดโดยใช้ NSS ทำความสะอาดบริเวณบาดแผลด้วย cotton bud ชุบนาเกลือล้างแผลแล้วเช็ดให้แห้งป้ายยา 1% kemicitine Ointment วันละ 4 ครั้งถ้าแผลมีสิ่งคัดหลั่งออกมามากให้ทาแผลด้วย antibiotic ointment และสังเกตลักษณะและการติดของแผล
1. ดูแลให้ได้รับยาตามแผนการรักษา -Ceftriaxone กลุ่มยา: cephalosporin กลไกการออกฤทธิ์ยับยั้งการสร้างผนังเซลล์ของแบคทีเรียจะฆ่าเชื้อแบคทีเรียชนิดแกรมบวก อาการข้างเคียง: ปวดศีรษะมึนงงคลื่นไส้อาเจียนท้องเสียเบื่ออาหารปวดท้องท้องอืดกดการสร้างไขกระดูกทำให้เม็ดเลือดขาวเกล็ดเลือดและ Hat แพ้ยาเช่นผื่นคันมีไข้เป็นต้นปวดบริเวณที่ฉีด -Paracetamol syrup 1/2 tsp. oral prn. q. 4-6 hr กลุ่มยา: Analgesic and Antipyretic กลไกการออกฤทธิ์: ยับยั้งการทำงานของ cyclooxygenase ทำให้การสร้าง prostaglandins ลดลงโดยมีผลยับยั้งการสร้าง prostaglandins ในระบบประสาทส่วนกลางมากกว่าส่วนปลายมีฤทธิ์ในการลดไข้และแก้ปวดได้ดีทำให้อุณหภูมิของร่างกายลดลงได้ด้วยการยับยั้งสารในสมองส่วนที่มีหน้าที่ควบคุมอุณหภูมิของร่างกายอาการข้างเคียง: อาการที่พบภายใน 24 ชั่วโมงแรกคือคลื่นไส้อาเจียนปวดท้องเหงื่อออกง่วงซึมสับสนความดันต่ำหัวใจเต้นผิดจังหวะผลทางห้องปฏิบัติการเกี่ยวกับการทำงานของตับเช่นค่า AST, ALT, bilirubin และ prothrombintime อาจจะเพิ่มขึ้นถ้าได้รับปริมาณ paracetamol สูงมากเกิน 10 กรัมจะทำให้เกิดภาวะตับเป็นพิษโคม่าและเสียชีวิต
1. ไม่มีอาการและอาการแสดงของการติดเชื้อบริเวณแผลผ่าตัดคือปวดบวมแดงร้อนบริเวณแผลผ่าตัดที่ริมฝีปาก 2. บริเวณแผลไม่มีสิ่งคัดหลั่ง 3. สัญญาณชีพอยู่ในเกณฑ์ปกติ (BT 36.9-37.1 องศาเซลเซียส, RR 40-60 bpm, PR 120-140 bpm) 4. การตรวจทางห้องปฏิบัติการไม่พบความผิดปกติ
ไม่เกิดการติดเชื้อที่แผลผ่าตัดบริเวณริมฝีปาก