กระต่าย

Więcej takich

ประวัติส่วนตัว

przez Thanida Thippinit

การสำรวจสัตว์เลี้ยงในบ้านที่เป็นที่นิยมของนักศึกษา สำนักศิลปศาสตร์ สาขาภาษาอังกฤษ มหาวิทยาลัยวลัยลักษณ์

przez เปมิกา ธัญญานนท์

ระบบสุขภาพชุมชน

przez Nuttakul pimsarn

การโต้เเย้ง

przez Elizabeth bc.

กระต่าย

ลักษณะ

มีสีดำหรือเทาที่บริเวณใบหู จมูกเท้า ปลายเท้า และปลายหาง ตาสีชมพู เป็นกระต่ายขนาดกลางโตเต็มที่หนัก 3.5-4.5 กิโลกรัม

จัดอยู่ในกระต่ายสายพันธุ์ยักษ์ น้ำหนักอยู่ที่ 5.9 กิโลกรัม

กระตายสายพันธุ์มินิเร็กซ์เป็นกระต่ายที่มีโครงสร้างสมดุลและได้สัดส่วน ร่างกายของมันกะทัดรัด มีความกว้างสมดุลกับความยาว ข่วงไหล่ ลำตัว และปั้นท้าย

ขนาดค่อนข้างเล็ก มีขนฟูยาวปกคลุมไปทั่วตัวและหน้า แลดูเหมือนก้อนขน มีหลายสี

กระต่ายที่มีขนาดกลางๆ มีขนฟูทั่วทั้งตัว ดูน่ารักเหมือนตุ๊กตา มีหลากหลายสี พบได้ง่ายในท้องตลาดTeddy หรือ Teddy Bear

ขนสีขาวฟูประมาณ 2-3 นิ้ว นิยมตัดมาประดิษฐ์เครื่องแต่งกาย สามารถตัดขนได้ปีละ 4 ครั้ง ให้ขนเฉลี่ยปีละ 600-1750 กรัม โตเต็มที่หนัก 2.4-3.8 กิโลกรัม

กระต่ายพันธุ์ใหม่ที่ได้รับความนิยมอย่างรวดเร็ว เหมือนกับเป็น พันธุ์ แฟนซี กล่าวกันว่าต้นกำเนิดอยู๋ ในประเทศเบลเยี่ยม

หูไม่ยาวมาก ไม่ควรยาวเกิน 1 นิ้ว และขนยาวไม่เกิน 1 นิ้ว

มีลำตัวสั้น กะทัดรัด หัวมีลักษณะกลม ขนาดใหญ่หนาและกว้างจากฐานของหูทั้งสองข้าง หูที่หนา และแบน

หูสั้นประมาณ 1 นิ้ว ตั้งขึ้นขนานกัน หรือหูยาวไม่เกิน 2 นิ้ว และขนต้องสั้น หนาแน่น ไม่หยาบกระด้าง

สายพันธุ์

Californian Breed

Flemish Giant

Minirex

woody toy

Teddy Bear

Angora Rabbit

Lion heads

Holland Lop

American Fuzzy Lop

Netherland Dwarf

การเลี้ยงดู

อาหารข้น

อาหารข้นควรเสริมให้กระต่ายกินในตอนบ่าย

อาหารที่เป็นแหล่งโปรตีน

ใบกระถิ่น

กากถั่วเหลือง

นมผง

อาหารที่เป็นแหล่งพลังงาน

มันเส้น

ข้าวฟ่าง

ข้าวโพด

อาหารหยาบ

แครอท

คะน้า

หญ้าชนิดต่างๆ

ข้อควรระวัง

สิ่งที่ไม่ควรทำ

หากที่บ้านมีแมว ไม่ควรเอาห้องน้ำแมวที่มีสารดับกลิ่นมาใช้กับกระต่าย ควรใช้ขี้เลื่อยหรือหนังสือพิมพ์แทน

อย่าอาบน้ำให้กระต่ายบ่อยเกินไป ประมาณ 3-4 เดือน/ครั้ง

อย่าเลี้ยงกระต่ายเป็นแฟชั่น ให้เลี้ยงเพราะว่าอยากจะเลี้ยง

ห้ามให้อาหารประเภทขนมที่เป็นแป้ง คาร์โบไฮเดรต เพราะจะเกิดผลเสีย

ห้ามหิ้วหูกระต่ายเด็ดขาด

สิ่งที่ควรทำ

ควรให้ถ่ายพยาธิหรือตรวจสุขภาพอย่างน้อยปีละ 1ครั้ง

ควรให้อาหารที่เหมาะสม

ทำความความสะอาดบริเวณกรงอย่างสม่ำเสมอ

สัมผัสอย่างเบามือ

ดูแลและสังเกตเป็นประจำ ถ้าเกิดความผิดปกติเพียงเล็กน้อยต้องรีบพาไปพบสัตวแพทย์